พระเยซูเจ้าตรัสว่า

“แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา

เรารู้จักมัน และมันก็ตามเรา”

(ยอห์น 10:27)

ที่บ้านของพ่อมีห่านอยู่ 7 ตัว

ซึ่งพ่อจะคอยดูแลเรื่องอาหารการกินของมันในทุกๆวันสม่ำเสมอ

มันจะส่งเสียงดังเมื่อเห็นพ่อของข้าพเจ้าเดินมาใกล้คอกของมัน

และเดินมาออรออาหารที่พ่อจะนำมาให้

พ่อเดินเข้าไปเก็บไข่ของมันมาได้โดยไม่เคยถูกมันทำร้ายเลย

แต่ครั้งใดที่ข้าพเจ้ากลับบ้าน

และอยากจะเดินเข้าไปในคอกของมันเพื่อแอบดูไข่ในกองฟาง

บรรดาฝูงห่านจะวิ่งแตกตื่นและมีทีท่าไม่ใคร่จะเป็นมิตรกับข้าพเจ้าเลย

ดังนั้น เมื่อใดที่ข้าพเจ้าอยากเข้าไปในคอกห่าน

ข้าพเจ้าก็ต้องมีพ่อนำทางเข้าไปด้วยทุกครั้ง

สิ่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ากลับมานึกทบทวนว่า

การได้พบเจอกับทุกๆวัน การได้ทำกิจกรรมหรือเรียนรู้ซึ่งกันและกัน

การแสดงความใส่ใจเอาใจใส่ต่อกันอย่างสม่ำเสมอ

จะทำให้เกิดสัมพันธภาพระหว่างกันและกัน

สำหรับข้าพเจ้าก็เช่นกัน การที่จะได้ยินเสียงเรียกของพระคริสตเจ้า

ข้าพเจ้าต้องรู้จักพระคริสตเจ้าก่อนผ่านทางพระวาจา ข้อคำสอนที่พระองค์ทรงชี้นำ

ยิ่งข้าพเจ้าอยู่ใกล้ชิดข้อคำสอนของพระคริสตเจ้ามากเท่าใด

ข้าพเจ้าก็จะยิ่งแน่ใจได้ว่า เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนี้เป็นเสียงเรียกของพระคริสตเจ้า

และจะคอยติดตามเสียงเรียกนี้ไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัย

สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เสียงของพระคริสตเจ้านั้น

ตรัสผ่านทางพระวาจาในพระคัมภีร์ทุกถ้อยคำทุกตัวอักษร

ตรัสผ่านประสบการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้าและพระองค์

ตรัสผ่านคำสอนของพระศาสนจักรและบรรดาพระสงฆ์ผู้อภิบาลจิตวิญญาณ

ตรัสผ่านทางเพื่อนพี่น้อง พ่อแม่ ครูอาจารย์ผู้ชี้นำทางในสิ่งที่ดีและถูกต้อง

ตรัสผ่านทางผู้ทุกข์ยากและผู้ที่กำลังต้องการความช่วยเหลือทั้งกายและจิตใจ

ดังนั้นแล้ว หากข้าพเจ้ามีประสบการณ์ฝ่ายจิต

และมีสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้า

ข้าพเจ้าก็จะมั่นใจได้ว่า นี่คือเสียงของพระองค์ นี่คือเสียงของผู้เลี้ยงของข้าพเจ้า

ที่กำลังเรียกข้าพเจ้า ขานชื่อข้าพเจ้า และสอนข้าพเจ้า

เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้เดินไปในหนทางที่ถูกต้องตามเสียงเรียกนั้น

ข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นครู มีตำแหน่งที่ไม่มีใครรู้จักในวงการวิชาการ

คือตำแหน่งหัวหน้างานประกาศข่าวดี

ข้าพเจ้าเคยถูกซักถามประวัติการทำงาน

และตำแหน่งหน้าที่จากเพื่อนในชั้นเรียนและอาจารย์

อาจารย์ถามข้าพเจ้าว่า งานประกาศข่าวดีคืออะไร

และประกาศแต่ข่าวดีเท่านั้นหรือ ข่าวร้ายไม่ประกาศหรือ

ข้าพเจ้ายิ้มหวานๆให้  ตอบไปแต่เพียงว่า หนูมีแต่ข่าวดีมาประกาศค่ะ

ในการทำงานหรือการกระทำภารกิจใดใดกับเพื่อนต่างความเชื่อ

ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามที่จะให้การกระทำของข้าพเจ้า

เป็นการประกาศข่าวดีแก่เพื่อนพี่น้องต่างความเชื่อด้วย

ทำไมต้องใช้ความพยายาม ก็เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีว่า

ข้าพเจ้าเป็นเพียงเครื่องมือที่ต่ำต้อย มอมแมมไปด้วยบาปมากมาย

มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าก็ทำให้เป็นที่สะดุดเช่นกัน

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องใช้ความพยายามให้มากยิ่งขึ้น

ที่จะไม่ให้กิจการของข้าพเจ้าเป็นที่สะดุด

โดยเฉพาะในด้านการแสดงออกซึ่งความรักและการรับใช้

เมื่อข้าพเจ้ารู้จักผู้เลี้ยง และฟังเสียงของผู้เลี้ยงได้ดีชัดเจนแล้ว

ข้าพเจ้าก็ต้องรู้จักที่จะแนะนำสมาชิกในฝูงให้รู้จักเสียงเรียกนี้ด้วยมิใช่หรือ

แบบอย่างที่ดีจะทำให้สมาชิกในฝูงสัมผัสได้และเป็นหนึ่งเดียวกับเรา

สุดท้าย เราจะก้าวเดินตามเสียงของผู้เลี้ยงไปด้วยกัน

“เราแต่งตั้งท่านให้เป็นแสงสว่างส่องนานาชาติ

เพื่อท่านจะได้นำความรอดพ้นไปจนสุดปลายแผ่นดิน”

(กิจการอัครสาวก 13:47)

เมื่อเราก้าวเข้าไปในสังคมที่แตกต่างด้านความเชื่อ

เราจะพบพลังงานและแรงต่อต้านบางอย่างที่เข้ามาปะทะเรา

บางครั้งอาจจะเป็นทางตรง หรือบางครั้งอาจจะเป็นทางอ้อม

แต่หากเรามั่นใจในกิจการดีของเรา ความรัก การรับใช้อย่างจริงจังของเรา

การแสดงตนของเราอย่างชัดเจนทั้งในด้านกิจการความเชื่อ และการปฏิบัติตน

การแสดงออกถึงภาพลักษณ์ของพระคริสตเจ้าต่อเพื่อนพี่น้องต่างความเชื่อ

การให้เวลาเพื่อเราจะได้พิสูจน์ตนเองในฐานะศิษย์พระคริสต์

ผู้มีพลังชีวิตบวกสำหรับคนรอบข้าง

สุดท้ายเราจะพบว่า พลังงานทางลบและแรงต่อต้านนั้นจะบางเบาลงและจางหายไป

สำคัญยิ่งคือ เราอาจจะได้สมาชิกใหม่ในพระคริสตเจ้า

ซึ่งเป็นของขวัญอันสุดวิเศษในภารกิจของการประกาศข่าวดีของเราก็ได้

.....................................