“ท่านผู้ใดไม่มีบาป
จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”
(ยอห์น 8:7)
มนุษย์เราชอบมองหาความบกพร่องของกันและกัน
เพื่อผลักดันตัวเองให้ดูดีและสูงขึ้น
เห็นชัดๆก็จากระบบการแข่งขันทางการเมืองนี่แหละ
ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะรู้เรื่องการเมืองเท่าไหร่นัก
แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือความขัดแย้งเมื่อต้องแข่งขันกัน
แทนที่จะนำเสนอนโยบาย ภาระงานเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาประเทศของตน
กลับมองหาช่องทางทำลายคู่แข่งของตน
ด้วยการสืบเสาะแสวงหาข้อบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อนำมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน
หญิงคนบาปคนหนึ่งกำลังจะถูกสังคมประณามและกำลังถูกสังคมตัดสิน
ด้วยการถูกทุ่มด้วยหินจนตาย
เราใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินคนๆหนึ่งว่าเป็นคนเลวร้าย ชั่วร้าย
จากกิจการของเขาใช่หรือไม่ แล้วใครคือผู้พิพากษาตัดสินที่เที่ยงตรง
เรามั่นใจได้อย่างไรว่า สายตา ความรู้สึก
และ มาตรฐานของเราในการตัดสินใครคนหนึ่งนั้นถูกต้อง เที่ยงธรรม
แม้แต่ศาลยังตัดสินคดีผิดพลาดได้
แล้วเราหละ ใช้อำนาจใดในการตัดสิน และทำร้ายผู้อื่น
ข้าพเจ้าสังเกตเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง คนที่ใครหลายๆคนมักส่ายหน้าเมื่อต้องร่วมงานด้วย
ข้าพเจ้ายังไม่รู้จักเขาด้วยตนเอง แต่ได้ยินเรื่องเล่ามาพอสมควร
ในขณะที่ฟัง ภาพลบก็เกิดขึ้นในใจของข้าพเจ้า
บุคลิกลักษณะ ภาพลักษณ์ของเพื่อนร่วมงานคนนั้นถูกวาดไว้ในใจของข้าพเจ้าเรียบร้อย
และเมื่อข้าพเจ้าร่วมงานกับเขา
ในใจข้าพเจ้าก็เกิดภาพลบมาก่อนเป็นอันดับแรก
จากภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างไว้โดยเพื่อนๆคนอื่นที่เล่าต่อกันมา
ทั้งๆที่ในความเป็นจริง เขาอาจจะเป็นคนมีน้ำใจ เพียงแต่เขาพูดไม่เป็น
บางทีเขาอาจจะเหมือนเอาเปรียบ แต่เขาอาจจะกำลังป่วย
มีอะไรหลายอย่างที่เราไม่รู้ และเราตัดสินเขาไปแล้ว
เพื่อนบ้านของข้าพเจ้า ที่ไม่ค่อยชอบหน้าข้าพเจ้านัก
อันเนื่องมาจากข้าพเจ้าไปช่วยตัดกิ่งไม้หน้าบ้านเขา และไปช่วยกวาดใบไม้หน้าบ้านเขา
ด้วยในใจที่ไม่ได้คิดอะไรเลย
เพียงแต่คิดว่า กวาดหน้าบ้านตนเองแล้วก็เลยไปหน้าบ้านเพื่อนบ้านด้วยก็ดี
เขากลับมองว่า ข้าพเจ้ารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเขา
ไม่เพียงเท่านั้น เขาออกไปเล่าให้เพื่อนบ้านข้างเคียงฟังถึงสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำ
เพื่อนบ้านข้างเคียงคิดอย่างไรข้าพเจ้าไม่รู้
แต่ที่แน่นอนคือภาพลักษณ์ข้าพเจ้าติดลบ และไม่สวยงามนัก
จะอย่างไรก็ตาม การสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นบวกให้กับคนรอบข้าง
ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย หรือยากเกินไปนักสำหรับข้าพเจ้า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีคุณค่าย่อมต้องใช้เวลาในการสร้างสม และสร้างสรรค์ทั้งสิ้น
ความดีก็เช่นกัน ต้องสะสมด้วยความเพียรทน
แต่บุคคลที่เคยหลงทาง หรือทำผิดพลาดพลั้ง
ย่อมต้องใช้เวลา และความอดทนในการชดเชยความผิดพลาดบกพร่องมากกว่า
เพราะเวลาคือสิ่งที่จะพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์คนหนึ่ง
พระเยซูเจ้าตรัสกับหญิงคนบาปว่า
“ไปเถิด แล้วตั้งแต่นี้ไปอย่าทำบาปอีก”
(ยอห์น 8:11)
ผู้ที่พร้อมจะกลับใจ พระเมตตาย่อมโปรยปรายมาถึงไม่สิ้นสุด
หลังจากที่ข้าพเจ้าถูกเพื่อนบ้านตัดสิน พร้อมทั้งขยายคำพิพากษาสู่เพื่อนบ้านรอบข้าง
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปเรียกร้องสิทธิความถูกต้อง ความยุติธรรมอีกเลย
จวบจนเพื่อนบ้านที่มีปัญหานั้น สร้างศัตรูเอาไว้รอบข้าง
ด้วยการกล่าวร้ายบ้านหลังนั้น นินทาบ้านหลังนี้ให้คนนั้นคนนี้ฟัง
จนท้ายสุดตัวเองก็อยู่ไม่ได้จึงต้องโยกย้ายออกไป
ทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ความยุติธรรม ความดีงาม ย่อมต้องใช้เวลาในการตัดสิน
เพียงแต่เราจะมีความเพียรทนที่จะกระทำสิ่งที่ดีอย่างไม่ย่อท้อ
หรือแม้จะเคยทำสิ่งที่เลวร้ายมา ก็มีความเพียรทนที่จะชดเชยด้วยความดีที่มากกว่าหรือไม่
เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า
“หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน”
ความดีจะฉายแสงตัวมันเองโดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศ
และความชั่วร้ายก็เช่นกัน มันจะครอบงำเราเมื่อเราเปิดโอกาสให้มันเข้ามา
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเปลี่ยนสภาพของข้าพเจ้าทั้งหลาย
ให้กลับดีเช่นเดิม เหมือนธารน้ำบริเวณเนเกบ”
(สดุดี 126:4)
..................................... |