“พระอาจารย์ พวกเราทำงานหนักมาทั้งคืนแล้ว จับปลาไม่ได้เลย
แต่เมื่อพระองค์มีพระดำรัส ข้าพเจ้าก็จะลงอวน”
(ลูกา 5:5)
ในวันที่ไฟแห่งชีวิตเหมือนจะริบหรี่ลง
ข้าพเจ้าย้อนกลับไปดูภาพอดีตในเฟสบุ๊คของตัวเอง
อันที่จริงเฟสบุ๊คก็มีประโยชน์ในด้านนี้ด้วยเช่นกัน
ในเมนู “ความทรงจำ” ที่ข้าพเจ้าเปิดเข้าไปทบทวนชีวิตตนเอง
แล้วก็คิดสะท้อนใจในความถดถอยของตัวเอง
ในอดีตข้าพเจ้าเคยกระตือรือร้นมากมายกับการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อเด็กๆ
ตอนนี้ความกระตือรือร้นที่จะสร้างสรรค์กิจกรรมเหล่านั้นมันหายไปไหนหมด
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มที่เด็กๆเคยมีรายล้อมกิจกรรมที่ข้าพเจ้าจัด
มันหายไปไหน ข้าพเจ้าเสียเวลาไปกับอะไร
ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยล้า ทดท้อ และผิดหวังในตัวเองเหลือเกิน
จนบางครั้งข้าพเจ้าก็แอบโยนความผิดให้กับภาระงานอื่นๆที่เข้ามา
และข้าพเจ้าก็โทษว่าภาระงานเหล่านั้นแหละ
ที่ทำให้ข้าพเจ้าสูญเสียโอกาสในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อเด็กน้อยเหล่านั้นไป
ข้าพเจ้ามองกิจการในอดีตผ่านความทรงจำในเฟสบุ๊คด้วยความคิดถึง
คลิปวีดีโอที่ข้าพเจ้าพาเด็กๆเต้นตามบทเพลงของพระ
ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกมีความสุข แต่พอกลับมาคิดถึงชีวิตในปัจจุบัน
ข้าพเจ้ากลับรู้สึกหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก
ในขณะที่อัครสาวกบ่นกับพระเยซูเจ้าว่าพวกเขาเหนื่อยล้าเกินที่จะทำหน้าที่
เพราะดูเหมือนว่าหน้าที่ที่เขาทำไปนั้นจะไร้ผล
เขาก็ทดท้อที่จะทำต่อ และคิดจะล้มเลิกกิจการนั้นเสีย
แต่อัครสาวกก็เลือกที่จะเชื่อพระเยซูเจ้า
ความเชื่อนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าความทดท้อที่เกิดขึ้นในใจ
และความทดท้อก็ไม่อาจเอาชนะความเชื่อได้เลย
เพียงแค่เรามีความเชื่อว่าในพระเจ้าเราจะชนะทุกสิ่ง
เพียงแค่เรามีความหวังว่าความสำเร็จนั้นจะต้องมาถึง
และเพียงเราทำทุกกิจการด้วยความรักแม้มันจะทดท้อเหลือเกินก็ตาม
เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมแล้ว มันก็จะเป็นวันของเรา
ภาพในอดีตผลักดันชีวิตในปัจจุบันให้มุ่งมั่นจะไปสู่อนาคตที่ดี
ข้าพเจ้าทบทวนตัวเองอีกครั้ง และบอกกับตัวเองว่า
อย่าทิ้งอดีตที่ดีงาม และอย่าท้อกับปัจจุบันที่ยากเย็น เพื่อมุ่งสู่อนาคตที่สดใสให้ได้
และไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบันหรืออนาคต
พระเจ้าทรงดำเนินอยู่เคียงข้างลูกๆของพระองค์เสมอ
ตราบเท่าที่เรายังเปิดใจให้พระองค์เข้ามาครอบครองดวงใจของเรา
“ข้าพเจ้าทำงานหนักกว่าคนอื่น แต่มิใช่ข้าพเจ้า
เป็นเพราะพระหรรษทานของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าที่ทำงาน”
(1โครินธ์ 15:10)
นักบุญเปาโลกล่าวว่าหลังจากที่ท่านได้กลับใจแล้ว
ท่านก็ได้ทำงานหนักอย่างมาก เพื่อเป็นพยานถึงองค์พระเยซูคริสตเจ้า
ท่ามกลางความยากลำบากที่ท่านได้รับหลังจากกลับใจ
ท่านไม่เคยทดท้อกับความยากลำบากนั้นเลย
ท่านกล่าวด้วยความนบนอบว่า
ท่านไม่สมควรได้เป็นอัครสาวกของพระเยซูเจ้าเลย
เพราะท่านเคยเบียดเบียนพระศาสนจักร
แต่กิจการดีของท่านไม่เคยทำให้เราคริสตชนรู้สึกประณามอดีตของท่าน
เรากลับรู้สึกถึงกิจการดีที่ท่านทำนั้นมันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
แบบอย่างภารกิจของท่านเป็นพยานถึงองค์พระคริสตเจ้าอย่างชัดเจน
แล้วข้าพเจ้าจะมัวทดท้อบ่นว่ากับความยากลำบากของชีวิตเพียงเล็กน้อยทำไม
ข้าพเจ้าควรจะมองอดีตเพื่อเป็นแรงผลักดันให้กิจการในปัจจุบันได้พัฒนายิ่งขึ้น
และมอบอนาคตไว้ในพระเมตตาของพระเจ้ามิใช่หรือ
หากดวงใจ ใครอ่อนล้า จงมาพัก
ณ ที่นี่ มีความรัก ที่พักให้
ในอ้อมกอด แห่งรัก ที่พักใจ
ขององค์ พระทรงชัย ที่รักจริง
หากดวงใจ ใครเหนื่อยล้า มาพักเถิด
อ้อมแขนเปิด แสนเลิศ ประเสริฐยิ่ง
คืออ้อมแขน แห่งรัก ให้พักพิง
เป็นอ้อมกอด องค์ความจริง อิงใจลง
..................................... |