ข้าพเจ้ากำลังทำวิจัยอยู่เรื่องหนึ่ง
ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมกระบวนการคิดไตร่ตรองของมนุษย์
ในขณะที่เขียนสภาพปัญหาและความสำคัญของการเลือกทำงานวิจัยชิ้นนี้
ข้าพเจ้าก็ทบทวนดูสภาพสังคม และการดำเนินชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน
เริ่มจากข้าพเจ้าดูพฤติกรรมของเยาวชนในโรงเรียนกับการใช้มือถือ
ดูพฤติกรรมของสมาชิกในครอบครัวกับการใช้มือถือ
เยาวชนสูญสิ้นเวลาไปกับการเล่นเกมออนไลน์
การดูและฟังคลิปซึ่งมีถ้อยคำหยาบคายและรุนแรงมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้ส่งผลแบบน้ำซึมบ่อทรายลงไปในใจเยาวชนทีละน้อยๆ
ความว่องไวที่จะเข้าช่วยเหลือคนรอบข้างน้อยลง
การคิดพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะลงมือกระทำสูญหายไป
กลายเป็นการทำร้ายกันด้วยอารมณ์ผ่านสื่อออนไลน์
และมาสำนึกได้เมื่อเรื่องบานปลายกลายเป็นเชลยของสังคมไปเสีย
เยาวชนหลายคนมองเห็นข้อคำสอนทางศาสนาเป็นเรื่องงมงาย ล่าสมัย
อย่าว่าแต่เยาวชนเลย ผู้ใหญ่บางคนก็ไร้ซึ่งศาสนาด้วยเช่นกัน
เพราะคำสอนทางศาสนาเป็นกรอบบังคับให้มนุษย์ต้องหยุดคิดไตร่ตรอง
เยาวชนมองเห็นการเรียนคำสอนเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่า
หาได้มีประโยชน์ต่อการงานในชีวิตประจำวันของตนเอง
จึงหมกมุ่นอยู่กับการดิ้นรนแก่งแย่งแข่งขันกับกิจการฝ่ายโลกกันสิ้น
“จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุ่นอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง
ความเมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้”
(ลูกา 21 : 34)
งานวิจัยที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาค้นคว้าแม้มันจะเป็นเพียงงานวิจัยชิ้นฝึกหัดของข้าพเจ้า
แต่มันทำให้ข้าพเจ้าได้ทบทวน ไตร่ตรอง ถึงข้อคำสอนของพระเยซูเจ้ามากยิ่งขึ้น
ไม่ใช่อ่านเพียงฉาบฉวยไร้คุณค่า ไม่ใช่เป็นเพียงตัวอักษรที่ผ่านตาไปเท่านั้น
แต่ทุกคำทุกวลีล้วนเพาะบ่มให้ความโน้มเอียงในทางลบของมนุษย์ลดลง
และเพิ่มพลังทางบวกให้ชีวิตมากยิ่งขึ้น
ข้าพเจ้าอ่านคำอธิบายข้อคำสอนของพระเยซูเจ้าเรื่องบุตรสองคน
ของคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์
เรื่องราวโดยสรุปคือ บิดามีบุตรชายสองคน
บิดาเรียกบุตรชายคนแรกให้ไปช่วยงานในสวน บุตรชายคนแรกตอบว่าไม่ไป
แต่สุดท้ายเขาก็ไป ส่วนบุตรชายคนที่สอง ตอบพ่อว่าจะไปแต่ไม่ไป
พระเยซูเจ้าตรัสถามว่า บุตรสองคนนี้ใครตามใจพ่อ
ข้าพเจ้าเองก็ตอบว่าบุตรคนแรกมากตลอด
แม้ว่าการกระทำย่อมสำคัญกว่าคำพูด
แต่การที่เราแสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่ามิใช่หรือ
อย่างไหนจะน่าชื่นใจมากกว่ากัน
“พี่น้อง องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ความรักที่ท่านมีต่อกัน และต่อทุกคนเพิ่มพูนขึ้น
อย่างล้นเหลือดังที่เรารักท่าน”
(1เธสะโลนิกา 3:12)
ข้าพเจ้าจึงเห็นว่ากระบวนการคิดไตร่ตรองต่อพระวาจาของพระเจ้า
สำหรับคริสตชนที่ต้องดำรงชีวิตอยู่สังคมปัจจุบันนี้
มีความสำคัญในฐานะที่จะเป็นกรอบคอยปกป้องเราจากการประจญล่อลวง
เป็นเสียงกระตุ้นเตือนให้รอบคอบ ละเอียดลออ
ในการคิดไตร่ตรองก่อนลงมือกระทำการสิ่งใด
เป็นแหล่งพลังในการเติมไฟชีวิตเพื่อต่อสู้กับสิ่งชั่วร้าย
ที่กำลังประดาหน้าเข้ามาในทุกช่องทาง
และทำให้คริสตชนเป็นผู้ที่รู้จักฟังมากกว่าพูดด้วยเช่นกัน
และรู้จักที่จะเป็นกำลังใจ เป็นพลังใจให้แก่กันและกัน
ใส่ใจกันและกันในทุกคำพูด ทุกการกระทำ ด้วยความรักอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงรัก
“อย่าให้เราเหนื่อยล้าในการทำดี
เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจ แล้วเราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร”
(กาลาเทีย 6:9)
.............................. |