ในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยยากกับภารกิจที่จำเจน่าเบื่อหน่าย
ข้าพเจ้ามองภารกิจนั้นแล้วทิ้งมันไว้เบื้องหลัง
ปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปโดยไม่แตะต้องมันเลย
แต่อย่างไรก็ตาม วันเวลาต่างกำหนดวันสิ้นสุดของทุกภารกิจ
สุดท้าย นาทีกดดันก็ต้องมาถึงเมื่อต้องกระทำภารกิจนั้น
แม้ว่าความเหนื่อยหน่ายจะยังไม่ได้ลดน้อยลงเหมือนเวลาที่สูญไปเลย
กลับเพิ่มความกดดัน เร่งรีบมากยิ่งขึ้นไปอีก
ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองว่า
จงอยู่กับมันให้คุ้นเคย จงอยู่กับความเหนื่อยหน่ายให้มีสุข
เพราะอย่างไรเราก็คงหลีกหนีมันไม่พ้นอยู่ดี
ชีวิตใดไหนบ้างที่จะมีแต่ความสุขสบายไร้ความทุกข์ยาก
นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตาเคยกล่าวไว้ว่า
“ชีวิตที่ไม่ได้รับใช้ผู้อื่นเป็นชีวิตที่ไม่มีคุณค่า”
การรับใช้ย่อมต้องเสียสละตนเอง ซึ่งมันก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ
แต่พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า “อาณาจักรของเราไม่ได้เป็นของโลกนี้”
(ยอห์น 18:36)
พระองค์จึงทรงบังเกิดมาบนโลกนี้เพื่อคนบาป ผู้ทุกข์ยาก
และเป็นแบบอย่างของผู้รับใช้ที่ดีให้คริสตชนได้ปฏิบัติตาม
พระองค์มาบนโลกนี้ไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์แห่งโลกนี้
แต่เป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
ข้าพเจ้าจึงควรจะดำเนินชีวิตอยู่กับความขัดแย้งฝ่ายโลกมิใช่หรือ
ในวันที่เหนื่อยหน่ายของชีวิต ข้าพเจ้าก็จะต้องเอาชนะมันให้ได้
ทำภารกิจของตนท่ามกลางความเหนื่อยหน่ายนั้น
เอาชนะใจตัวเองท่ามกลางการประจญล่อลวงให้ได้มิใช่หรือ
ข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าข้าพเจ้าดีพร้อมแล้ว
เพราะข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีเสมอว่าข้าพเจ้าไม่เคยดีพร้อมเลย
ไม่เคยรู้สึกว่าสมควรแก่พระอาณาจักรสวรรค์เลย
ยิ่งมองย้อนอดีตกลับไปยิ่งเห็นหลุมดำของชีวิตตนเอง
ดังนั้น เมื่อปัจจุบันข้าพเจ้ายังได้สิทธิของลมหายใจในพระเมตตาอยู่
ท่ามกลางความเหนื่อยยากข้าพเจ้าก็จะไม่ท้อถอย
ท่ามกลางความผิดหวังข้าพเจ้าก็จะไปต่อ
เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า ทุกลมหายใจของชีวิตในเช้าวันใหม่นั้น
เป็นพระพร พระเมตตาที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้า
ได้กระทำภารกิจแม้จะเหนื่อยหน่ายนั้น
เพื่อชดเชยความผิดพลาด เลวร้ายของชีวิตที่ได้เคยกระทำไว้บ้าง
ได้สะสมแสงสว่างแห่งความดีของชีวิต
เพื่อส่องสว่างเข้าไปในหลุมดำที่เก็บกักความชั่วร้ายเอาไว้ให้หมดสิ้น
“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์
ทรงความรุ่งเรืองเป็นอาภรณ์”
(สดุดี 93:1)
เพราะพระองค์ทรงเมตตา
ให้เวลาแห่งลมหายใจใหม่
เพื่อได้ทำหน้าที่ผู้รับใช้
ส่งต่อรักยิ่งใหญ่ของพระองค์
.............................. |