“ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุขเมื่อถูกดูหมิ่น
ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา
จงชื่นชมยินดีเถิด
เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก”
(มัทธิว 5:11-12)
เมื่อไม่กี่วันมานี้ มีพระต่างความเชื่อนิกายหนึ่ง
ออกมาเทศนาให้บรรดาศาสนิกชนของตนฟัง
และถ่ายทอดออกรายการโทรทัศน์
ทุกคำพูดทุกประโยคล้วนเป็นถ้อยคำที่ต่อต้านคริสตศาสนาอย่างชัดเจน
จังหวะแรกของการได้ยิน ข้าพเจ้ารู้สึกโกรธมาก
รู้สึกว่าทำไมบุคคลคนนี้จึงไม่เป็นผู้นำทางศาสนาที่ตนนับถือที่ดีเลย
ทำไมไม่สอนศาสนิกชนของตนให้ คิดดี พูดดี ทำดี
ทำไมสอนให้แตกแยก ทำไมไม่สร้างสันติ และนี่หรือคือสิ่งที่ศาสนาของคุณสอน
ข้าพเจ้านำความรู้สึกนี้ไปปรึกษากับพ่อของข้าพเจ้า
พ่อบอกกับข้าพเจ้าสอนว่า อย่าโกรธเขาเลย
เขานี่แหละที่จะทำให้เราเด่นชัดขึ้นในความเป็นจริงที่เขาไม่รู้
ข้าพเจ้าพยายามจะลืมสิ่งที่ได้ยินจากโทรทัศน์ในวันนั้น
แม้มันจะยังรู้สึกถึงความคุกรุ่นในใจอยู่บ้างก็ตาม
จวบจนวานนี้ ข้าพเจ้าได้พบเพื่อนต่างความเชื่ออีกคนหนึ่ง
เราเป็นเพื่อนในชั้นเรียนปริญญาโทด้วยกัน
เธอเข้ามาซักถามข้าพเจ้าถึงคำนำหน้าชื่อของคริสตชน (นักบุญ) ว่าคือใคร
เป็นชื่อของแม่ชีที่โบสถ์ใช่ไหม
ทำไมคนคริสต์ต้องมีชื่อนักบุญ
ข้าพเจ้ายิ้มให้และบอกว่า นี่คือชื่อของนักบุญ
นักบุญคือคนที่ทำความดีไว้มากๆตอนมีชีวิตบนโลกนี้
เราเชื่อว่า วิญญาณของท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว
และท่านก็เป็นแบบอย่างให้กับคริสตชนในการดำเนินชีวิต
คริสตชนสามารถเลือกได้ว่าจะใช้นามนักบุญองค์ใด
เพื่อจะได้นำท่านมาเป็นแบบอย่างในการทำกิจการดี
และท่านจะคอยเสนอวิงวอนให้เราในสวรรค์ด้วย
เพื่อนบอกกับข้าพเจ้าว่า
คนคริสต์นี่ดูอ่อนหวานทุกคนเลยเนอะ
เธอเล่าต่ออีกว่าวันก่อนเธอไปร่วมพิธีปลงศพญาติเพื่อนที่นับถือศาสนาคริสต์
เธอชอบมาก เพราะพิธีดูสง่า และสวยงามมาก
ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นใจ สุขใจ
และรับรู้ได้ถึงผลงานของพระเจ้าในกิจการเหล่านั้น
ถ้อยคำดูหมิ่นดูแคลนที่ได้ยินมามันค่อยๆจางหายไป
อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ย้อนกลับมาพิจารณาตนเองอีกครั้ง
ในฐานะคริสตชน ลูกของพระ
เราได้แสดงตนเป็นผู้เปี่ยมด้วยความรัก
และความเมตตาอ่อนหวานต่อคนอื่นมากน้อยเพียงใด
เราทำให้พระเยซูคริสตเจ้ามีรูปลักษณ์อย่างไรต่อคนรอบข้าง
ทำอย่างไรสังคมคริสตชนจึงจะเป็นสังคมแห่งความรักที่แท้จริง
ข้าพเจ้าไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องทำอย่างไร
รู้แต่เพียงว่า ... ต้องเริ่มที่ตัวเราเองก่อน
ข้าพเจ้าต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน
และให้คนรอบข้างเป็นกระจกสะท้อนตัวตนของเรา
แต่อย่างไรก็ตาม การที่เราจะสะท้อนภาพใครสักคนหนึ่งนั้น
เราก็ต้องรู้จักเขาให้ดีเสียก่อนมิใช่หรือ
มีบทเพลงของพี่น้องคริสเตียนเพลงหนึ่ง ชื่อเพลง “อยู่เพื่อรับใช้” ขับขานไว้ว่า
“หากเรารักใครสักคน ก็พร้อมจะทำทุกอย่าง
ให้เขารู้ว่ารักมากเท่าใด
แต่บางครั้งที่เราพูดไป ว่ารักพระเจ้ามากมาย
เราได้ทำอะไรเพื่อพระองค์หรือยัง
บอกพระองค์ได้ไหม สัญญาผ่านเพลงนี้
ว่าชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อพระองค์เท่านั้น อยู่เพื่อรับใช้
และจะทำสุดหัวใจ มอบถวายทั้งหมดที่มีเพื่อพระองค์.....”
ดังนั้น หากเรายังไม่รู้จักพระองค์ดีพอ
เราจะแสดงกิจการของพระองค์ให้กับเพื่อนพี่น้องได้อย่างไร
เพราะบุคคลที่รู้จักพระองค์ ย่อมแสดงกิจการของพระองค์ได้ชัดเจนมิใช่หรือ
“โลกไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์”
(1 ยอห์น 3:1)
แต่เราจะทำให้โลกรู้จักพระองค์ผ่านกิจการที่เรากระทำด้วยความรักและเมตตา
“ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์
ย่อมชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์”
(1 ยอห์น 3:3)
คริสตชนจะใช้ความรักและเมตตาเป็นอาวุธต่อสู้กับผู้ที่ข่มเหงและเบียดเบียนเรา
และความรักก็จะชนะทุกอย่างอยู่เสมอและตลอดไป
.............................. |