“อูฐจะลอดรูเข็มยังง่ายกว่า
คนมั่งมีเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า”
(มาระโก 10:25)
ข้าพเจ้าเคยได้อ่านความหมายรวมทั้งเคยได้เรียนคำสอน
ของคำว่า “อูฐลอดรูเข็ม” ที่พระเยซูเจ้าทรงเปรียบเทียบถึง
คำว่า “อูฐลอดรูเข็ม” จะคอยเตือนใจข้าพเจ้าตลอดมา
เรื่องมีอยู่ว่าที่กำแพงรอบกรุงเยรูซาเล็มของเรื่องราวในพระคัมภีร์
จะมีช่องเล็กๆเตี้ยๆ ที่คนพอจะเอาตัวลอดเข้าไปได้
ในยามค่ำคืนที่ประตูเมืองปิดลง เพื่อป้องกันศัตรูมารุกรานในยามวิกาล
รูเล็กๆ ที่ยังเปิดเอาไว้นี้ถูกเรียกว่า “รูเข็ม” หรือ “ประตูเข็ม”
อูฐหรือสัตว์อื่นๆจะผ่านรูเข็มนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
มันต้องเปลื้องสัมภาระออกทั้งหมด และย่อตัวลงให้ต่ำที่สุด
จึงจะพยายามแทรกตัวเองเข้าไปในรูเข็มนั้นให้ได้
ข้อคำสอนนี้สอนใจข้าพเจ้าเสมอว่า
ตราบใดที่เรายังไขว่คว้า สะสมทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกไว้
เราจะเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ยากมาก
เราจะมีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระเจ้า
ก็ต่อเมื่อ เราทำตัวให้สุภาพ อ่อนน้อมพอ เหมือนที่อูฐต้องย่อตัวลงให้ต่ำที่สุด
และทิ้งสมบัติฝ่ายโลกที่ทำให้เราพะว้าพะวงไว้เบื้องหลัง
เพื่อนำวิญญาณของเราให้รอดพ้นสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า
ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงมีทรัพย์สินเงินทองไม่มากพอ
ที่จะคิดทำอะไรตามใจตัวเองได้บ้าง
ยิ่งมองดูเพื่อนพี่น้องรอบข้างที่เดินทางท่องเที่ยว มีกินมีใช้เหลือเฟือ
ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกสัมผัสได้ถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของตนเอง
นั่นแหละ พระวาจาของพระเจ้าก็เตือนสอนข้าพเจ้าให้ถ่อมตนลงให้มากพอ
ที่จะไม่มองหาทรัพย์สมบัติเพื่อสนองความสุขสบายของตนเอง
ข้าพเจ้าพอมีกินมีใช้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
มีมิตรภาพที่ดีดีอยู่รอบกาย
มีพระพรของพระเจ้าในทุกสถานการณ์
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่มิใช่หรือ
“โปรดทรงสอนข้าพเจ้าทั้งหลายให้รู้จักนับวันแห่งชีวิตได้ถูกต้อง
เพื่อจะได้มีจิตใจปรีชาฉลาด”
(สดุดี 90:12)
ผู้ปกครองนักเรียนคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
เธอมักใส่เสื้อยืดเก่าๆ กางเกงธรรมดา
รองเท้าแตะมารับบุตรของเธอที่โรงเรียน
เมื่อเดินเข้ามาในประตูปุ๊บ จะมีสายตาผู้ปกครองอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่แต่งตัวค่อนข้างมีฐานะ มองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า
เอาจริงๆ ผู้ปกครองที่เข้ามาคุยกับข้าพเจ้าคนนี้
เธอก็เป็นครอบครัวที่จัดได้ว่ามีฐานะดีคนหนึ่ง
เพียงแต่เธอไม่ชอบแต่งตัวและวุ่นวายกับใครเท่าใดนัก
เธอเล่าต่ออีกว่า หลังจากที่เพื่อนของเธอเล่าถึงครอบครัวของเธอ
รวมไปถึงฐานะทางการเงินของเธอด้วยให้ผู้ปกครองกลุ่มนั้นฟัง
หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ปกครองกลุ่มนั้นก็ยกมือสวัสดีเธอทุกครั้งไป
ข้าพเจ้าเคยสัมผัสถึงถ้อยคำและสายตาดูถูกเหยียดหยามมาตั้งแต่ยังเล็ก
ข้าพเจ้าเข้าใจความรู้สึกนั้นดีพอสมควร
ตั้งแต่เล็ก ข้าพเจ้าเป็นคนเรียนหนังสือไม่ค่อยเก่ง
ขี้อายและหวาดกลัวกับสายตาและความรู้สึกของคนอื่นที่มีต่อข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเคยถูกมองด้วยสายตาเบื่อหน่ายและรำคาญ
ข้าพเจ้าเคยถูกสบประมาทว่าวาดรูปและลงสีได้เน่ามาก
ข้าพเจ้าเคยถูกประณามว่าป่วยการเมืองในวันที่เพิ่งฟื้นจากไข้มาโรงเรียน
และลงไปเข้าแถวไม่ได้เพราะส่าไข้ขึ้นเต็มตัว
ทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้นข้าพเจ้า
แม้ในเวลานั้น มันจะทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกแย่มากมายเพียงใดก็ตาม
แต่มันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าเติบโตขึ้น
ประสบการณ์เหล่านั้นสอนให้ข้าพเจ้ารู้จักเมตตาคนที่อ่อนแอ
ประสบการณ์เหล่านั้นสอนให้ข้าพเจ้าใส่ใจคนที่รู้สึกพ่ายแพ้ในชีวิต
ประสบการณ์เหล่านั้นสอนให้ข้าพเจ้าไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร
ทั้งด้วยความรู้สึก คำพูด หรือการกระทำก็ตาม
*ขอให้ใจ ลูกนี้ มีแต่รัก
เป็นที่พึ่ง พิงพัก ยามใครล้า
มีดวงใจ โอบเอื้อ เกื้อกรุณา
มีเมตตา รู้คุณค่า ของผู้คน*
.............................. |