“ถ้ามือข้างหนึ่งของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป
จงตัดมันทิ้งเสีย
ท่านจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรโดยมีมือข้างเดียว
ยังดีกว่ามีมือทั้งสองข้างแต่ต้องตกนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ”
(มาระโก 9:43)
หากเราไม่สามารถบังคับอวัยวะต่างๆในร่างกายของเราได้
เราก็จะใช้อวัยวะเหล่านั้นในการทำสิ่งที่เลวร้าย
เมื่อตามองในสิ่งที่สกปรก มือก็จับต้องสิ่งสกปรกนั้น
กลิ่นเหม็นคละคลุ้งของสิ่งสกปรกก็แทรกซึมเข้าไปในลมหายใจ
ถูกจารึกจดจำไว้ในสมองและแปดเปื้อนไปถึงดวงใจ
ข้าพเจ้ามีสุนัขตัวหนึ่งซึ่งเป็นสุนัขที่เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็ก
มันเป็นขี้เรื้อน และเมื่อมันโต มันก็ตัวใหญ่มากเหมือนสุนัขพันธุ์ดัลเมเชียน
นอกจากจะตัวใหญ่แล้ว มันยังมีเรี่ยวแรงที่มหาศาล
เมื่อมันดีใจมันจะทะยานเข้าใส่อย่างแรง
ข้าพเจ้าไม่ชอบที่จะเข้าใกล้มันนักด้วยกลิ่นตัวที่รุนแรงของมัน
แต่ข้าพเจ้าต้องช่วยสามีในการฉีดยาบรรเทาโรคขี้เรื้อนให้มันทุกเดือน
ทุกครั้งที่ต้องฉีดยาให้มัน ข้าพเจ้ารู้สึกแย่ที่สุด
เพราะข้าพเจ้าต้องจับขามัน สัมผัสตัวมัน เอามือนึงปิดปากมันไว้
ก่อนที่สามีจะฉีดยาเข้าใต้ผิวหนังให้มัน
หลังเสร็จภารกิจอันแสนทรมานของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้ารู้สึกรังเกียจตัวเองขึ้นมาทันที
มีความรู้สึกว่าล้างมือเท่าไหร่ก็ไม่สะอาด กลิ่นมันติดจมูกข้าพเจ้า
ติดความรู้สึก ติดไปทุกรูขุมขนในร่างกาย
ข้าพเจ้าต้องอาบน้ำฟอกตัวอยู่นานสองนาน
ชโลมสบู่เหลว สบู่ก้อน ยาฆ่าเชื้อ ใส่ตัวเองจนมั่นใจว่า
กลิ่นนั้นจะไม่ตามหลอกหลอนข้าพเจ้าอีก
จริงแล้วประสบการณ์เช่นนี้ก็สอนใจข้าพเจ้ายิ่งนัก
บาปก็เหมือนกับกลิ่นเหม็นๆร้ายกาจที่น่ารังเกียจ
เมื่อข้าพเจ้าเข้าใกล้บาปนั้น ข้าพเจ้าก็เหม็นไปด้วยกลิ่นของความชั่วร้าย
พระคริสตเจ้าคือธารน้ำใส คือสบู่เหลว คือยาฆ่าเชื้อที่จะชำระล้างบาปร้ายของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าเป็นคนบาป ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นคนบาป
ขอพระคริสตเจ้าโปรดทรงชำระวิญญาณข้าพเจ้าให้ใสสะอาด
แล้วข้าพเจ้าจะเป็นปรับเปลี่ยนตัวเองให้ขาวสะอาดพอด้วยความรักของพระองค์
“ขอพระองค์ทรงช่วยผู้รับใช้ให้พ้นจากความจองหอง
อย่าให้ความจองหองนี้ครอบงำข้าพเจ้าเลย
เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่มีที่ตำหนิ บริสุทธิ์พ้นจากบาปหนัก”
(สดุดี 19:13)
ในช่วงเตรียมเข้าสู่การเฉลิมฉลอง 350 ปี มิสซังสยาม
พระสงฆ์หลายท่านพยายามเน้นย้ำให้สัตบุรุษเคร่งครัดในศาสนพิธี
ไตร่ตรองขั้นตอนในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างตั้งใจ
และเข้าใจสัญลักษณ์ที่เราปฏิบัติในพิธีกรรมนั้น
ข้าพเจ้าจำได้ว่าพ่อของข้าพเจ้าเคยสอนข้าพเจ้าว่า
ก่อนพระสงฆ์จะอ่านพระวรสาร
ในขณะที่เราทำเครื่องหมายกางเขนที่หน้าผาก ปาก และหน้าอก
เราต้องระลึกเสมอว่า เมื่อเราทำเครื่องหมายที่หน้าผาก
เราจะต้องจดจำพระวาจานั้นไปใช้ประมวลผลในสมองให้คิดแต่สิ่งที่ดี
เมื่อเราทำเครื่องหมายกางเขนที่ปาก
ให้เราระลึกเสมอว่าเราจะพูดแต่สิ่งที่ดีดี นั้นคือการประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้า
และเมื่อเราทำเครื่องหมายกางเขนที่หน้าอก
ให้เราระลึกเสมอว่า เราจะนำพระวาจานั้นไปปฏิบัติจนเป็นกิจการที่ดี
ที่ถูกกลั้นกรองออกมาจากใจที่บริสุทธิ์
ข้าพเจ้าจึงมักจะพูดทุกครั้งว่า ขอให้ลูกคิดแต่สิ่งที่ดีดี(ตอนทำกางเขนที่หน้าผาก)
พูดแต่สิ่งที่ดีดี (ตอนทำกางเขนที่ปาก)
และทำในสิ่งที่ดีดี (ตอนทำกางเขนที่หน้าอก)
มีเพลงๆหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินตั้งแต่ยังเล็กในคาบเรียนคำสอน
จวบจนปัจจุบันก็ยังพอได้ยินอยู่บ้าง แต่จำเนื้อหาได้ไม่ถูกต้องนัก
“ดวงตาน้อยๆนี้จ้องมองพระองค์
แขนน้อยๆนี้ใช้ทำงานทุกวัน
ขาเล็กๆนี้ใช้เดินตามทางพระองค์
ลิ้นน้อยๆนี้มีไว้พูดความจริง
ใจน้อยๆนี้มีไว้เพื่อรักพระองค์
สิ่งน้อยๆนี้ขอมอบถวายพระองค์
โปรดให้จริงใจ ซื่อสัตย์และรักพระองค์”
เมื่อยังเล็กชีวิตก็ดูบริสุทธิ์ อวัยวะน้อยๆในร่างกาย
ก็มีไว้เพื่อสรรเสริญพระเจ้า
ความสดใสร่าเริง และแววตาที่ซื่อก็มอบถวายให้พระเจ้าทั้งครบ
อย่าให้วันเวลากลืนกินความบริสุทธิ์ สดใส ร่าเริง และความซื่อตรงนั้นไปอีกเลย
ลูกจะกลับไปหาพ่อ ลูกจะกลับไปหาพ่อ
.............................. |