“ท่านไม่มีเพราะไม่ได้วอนขอ

ท่านวอนขอแต่ไม่ได้รับ

เพราะท่านวอนขอไม่ถูกต้อง

คือวอนขอเพื่อนำไปสนองกิเลสตัณหาของท่าน”

(ยากอบ 4:2-3)

ทุกครั้งที่เราสวดอ้อนวอนขอพรพระ

กี่ครั้งที่เราสวดอ้อนวอนขอพรพระเพื่อผู้อื่นอย่างจริงจัง

เรามักสวดภาวนาอ้อนวอนขอพรให้ตนเองในวันที่เรารู้สึกขาดแคลน

และต้องการอะไรบางสิ่งบางอย่าง

สามีขอให้ข้าพเจ้าซื้อลอตเตอรี่ให้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ซื้อให้

ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่า ถ้าใครไม่ทำกินก็ไม่สมควรมีกิน

สิ่งที่ได้มาง่ายๆก็มักสูญสลายไปง่ายๆด้วยเช่นกัน

เมื่อเป็นดังนั้น สามีจึงไม่หวังพึ่งให้ข้าพเจ้าซื้อลอตเตอรี่อีกต่อไป

นั่นหมายถึงว่า เขาจัดการซื้อด้วยตัวของเขาเอง

ข้าพเจ้าแอบนึกขำในใจว่าทำไมต้องพยายามขนาดนั้น

ข้าพเจ้าถามเขาว่า ถ้าถูกรางวัลที่ 1 เขาจะนำเงินส่วนนั้นไปทำอะไร

เขาคิดพิจารณาครู่หนึ่งแล้วบอกกับข้าพเจ้าว่า

1.           เขาจะเก็บไว้ให้ลูกๆ 3 ส่วนๆ ละเท่าๆกัน

2.           เขาจะเก็บไว้ใช้ยามแก่ชรา

3.           เขาจะใช้หนี้ให้พ่อแม่ และสร้างบ้านใหม่ให้ท่าน

4.           เขาจะให้ข้าพเจ้าออกจากอาชีพครูและหาอาชีพที่ทำอยู่กับบ้าน

ข้าพเจ้าบอกกับสามีว่า ข้อ 4 นี่แหละเราจึงไม่ถูกรางวัลที่ 1 เลย

เพราะถ้าเราถูก ข้าพเจ้าซึ่งทำงานประกาศข่าวดีในสถานศึกษาของพระเจ้า

ก็จะไม่ได้ทำหน้าที่ประกาศข่าวดีนี้อีกต่อไป

เราจะทิ้งงานของพระองค์ไว้เบื้องหลังเงินทองที่ได้รับมา

เราจะสนองความสุขของตนเองจนลืมหน้าที่สำคัญในฐานะชีวิตคริสตชน

และเราจะคิดได้อีกครั้งเมื่อทรัพย์สินเงินทองนั้นเริ่มหมดลง

ความสุขเล็กๆน้อยๆบนโลกใบนี้ก็เหมือนลมพัดเย็นๆใจเพียงชั่วคราว

พอให้มีกำลังเรี่ยวแรงเดินต่อไปได้

แต่สิ่งสำคัญคือจุดหมายปลายทางที่เราต้องเดินไปให้ถึง

จะไปในสภาพที่มอมแมม  สกปรก  เสื้อผ้าขาดวิ่น ไร้ซึ่งเงินทอง

แต่เรายังไปถึงเส้นชัย ก็ยังดีกว่า

ไปพร้อมกับรถหรู  ทรัพย์สินเงินทองที่เราพะวงแบกติดตัวเราไปด้วย

แต่ไปไม่ถึงปลายทาง ก็ไร้ประโยชน์

ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องราวของหญิงชราคนหนึ่งที่เคยมั่งมีเงินทอง

บัดนี้หูตาของเธอเริ่มฝ้าฟาง

แต่เธอก็ยังยึดติดกับทรัพย์สมบัติของเธอ

เธอมักโวยวายเอากับคนในครอบครัวว่ามาขโมยทรัพย์สินของเธอไป

เพราะเธอมองไม่เห็นทรัพย์สินนั้นอีกแล้ว

และก็จดจำไม่ได้เสียด้วยว่าวางสมบัติเหล่านั้นไว้ส่วนใดของบ้านบ้าง

เธอไม่มีความสุข เพราะทุกวันเธอจะคอยพะวงว่าสมบัติของเธอยังอยู่ครบหรือไม่

หรือมีใครเข้ามาหยิบฉวยไปหรือเปล่า

“การต่อสู้และการทะเลาะวิวาทในหมู่ท่านนั้นมาจากที่ใด

มิใช่มาจากกิเลสตัณหาซึ่งต่อสู้อยู่ภายในร่างกายของท่านหรือ

ท่านอยากได้แต่ไม่ได้ จึงฆ่ากัน

ท่านอยากได้แต่ไม่สมหวัง จึงทะเลาะวิวาทและต่อสู้กัน”

(ยากอบ 4:1-2)

เมื่อเรารู้สึกทดท้อกับการดำเนินชีวิต

เมื่อปัญหาสารพัดรุ่มเร้าเข้ามาให้เรารู้สึกระอาใจ

ปฏิกิริยาของความเป็นมนุษย์ก็ทำงาน

เพื่อดิ้นรนพาตนให้พ้นทุกข์ในทุกวิถีทาง

ยิ่งดิ้นรนยิ่งอ่อนล้า เพราะความทุกข์ยากนั้นก็ยังคอยติดตามเราไปในทุกวิถีทาง

“จงแบกกางเขนและตามพระองค์ไป”

จึงเป็นวิธีเดียวที่เราจะอยู่กับความทุกข์นั้นอย่างเข้าใจ

และเป็นหนึ่งเดียวกันกับความทุกข์นั้นด้วยความยินดี

เมื่อทุกข์ก็มีใจสุภาพพอที่จะบอกว่าเรามีทุกข์ เมื่อสุขก็เก็บไว้เป็นพลังชีวิต

“พระองค์ประทานสิ่งดีทั้งหลายแก่ผู้อดอยาก

ทรงส่งเศรษฐีให้กลับไปมือเปล่า”

(ลูกา 1:53)

บทเพลงหนึ่งขับขานไว้ว่า...

“กางเขนคือความรอดของวิญญาณ

ลูกจะพบพานต้องผ่านชีวิตทุกข์ทน

ทางแห่งกางเขนนำสู่สวรรค์เบื้องบน

ต้องผจญสู่ทนสิ่งร้ายนานา”

..............................

S