“ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน

หากไม่มีการกระทำ  ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว”

(ยากอบ 2:17)

มีสำนวนหนึ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินอยู่บ่อยๆก็คือ

Deeds speak louder than words

แปลว่า การกระทำดังกว่าคำพูด

ซึ่งอับราฮัม ลิงคอล์น ได้กล่าวไว้ตรงกับข้อความในพระคัมภีร์มาก

ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเชื่อ หรือความหวัง

หากไร้ซึ่งการกระทำก็ไร้ประโยชน์ใดใดเลย

หากปากเพียรพร่ำบอกคำว่ารัก แต่ไม่เคยแสดงออกถึงความรักที่เป็นการกระทำ

ก็ไม่น่าจะเรียกว่าความรักได้

หากปากพร่ำพูดแต่ว่าข้าพเจ้าเชื่อๆ แต่ไร้ซึ่งการกระทำถึงความเชื่อที่แท้จริง

ก็ไม่น่าจะเรียกว่ามีความเชื่อได้

หากปากพร่ำรำพันแต่ความหวัง แต่ไม่เคยลงมือกระทำให้ไปถึงความหวัง

ก็ไม่น่าจะมีความหวังที่สำเร็จผล

คุณค่าของชีวิตมนุษย์อยู่ที่การกระทำเพื่อผู้ที่เราบอกว่ารัก

เพื่อผู้ที่เราบอกว่าเชื่อ และเพื่อสิ่งที่เราบอกว่าหวัง

ตั้งแต่เล็กจนโต  คุณพ่อคุณแม่ ครูคำสอน จะสอนเสมอว่า

เพื่อนมนุษย์ทุกคนคือพระเยซูเจ้า

เรากระทำสิ่งใดกับเขาก็เหมือนเรากระทำสิ่งนั้นต่อพระเยซูเจ้า

และเราอยากให้ผู้อื่นกระทำกับเราเช่นไรก็จงกระทำเช่นนั้นกับเขา

บางทีแบบอย่างที่ไม่ดีของคนบางคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา

ก็เป็นบทเรียนให้เราได้พัฒนาตนเองด้วยเช่นกัน

พี่น้องคริสตชนที่รัก คนรอบข้าง  เพื่อนต่างความเชื่อ

ต่างมองว่าเรามีบัญญัติของความรักเป็นพื้นฐาน

แม้ในสังคมภายนอกก็ยังมองว่าเราเป็นศาสนาแห่งความรัก

คริสตชนจึงมีรูปลักษณ์ของความอ่อนโยน อ่อนหวาน มีเมตตา  อบอุ่น น่าพึ่งพิง

แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ

คริสตชนส่งเสริมซึ่งกันและกันจริงๆใช่ไหม

คริสตชนตักเตือนกันด้วยความรักหรือหวังเพื่อทำลาย

คริสตชนใช้ดวงใจที่อ่อนโยนเพื่อทลายกำแพงใจที่แข็งกระด้างหรือเปล่า

หรือใช้ตาต่อตาฟันต่อฟันกันแน่

บางทีข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า  คริสตชนเรากำลังถูกจู่โจมจากซาตานอย่างหนัก

และเราหลายคนก็หลงเดินตามเสียงของซาตาน

เรากำลังกระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับข้อคำสอนของพระเยซูเจ้า

เรากำลังมองคนรอบข้างเป็นศัตรูใช่ไหม

เรามองเห็นเศษฝุ่นในตาผู้อื่นแต่ไม่เคยเห็นไม้ทั้งท่อนในตาของตนเอง

เรากำลังตกเป็นทาสของมารซาตานโดยไม่รู้ตัวจริงหรือไม่

ถ้าเรายังด่าทอเพื่อนพี่น้องในพระเจ้า

ซึ่งเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราได้อย่างเอาเป็นเอาตาย

เราก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆที่ไม่ได้รู้จักพระเจ้า

ถ้าเรายังใช้ตาต่อตาฟันต่อฟัน

เราก็กลับไปสู่ในอดีตที่ยังไม่มีข้อคำสอนของพระเยซูเจ้าสอนให้เรารักกัน

ตราบใดที่เรายังเอาความรู้สึกของเราเป็นที่ตั้ง

และมองคนรอบข้างอย่างคู่ต่อสู้

เราก็ไม่ได้มีความรัก  ความเชื่อ ความหวังที่พระคริสตเจ้าทรงมอบให้เราเลย

อย่าบอกว่ารักพระเจ้า ถ้าเรายังทำร้ายเพื่อนพี่น้องในพระเจ้าอยู่

“ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา

ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง  ให้แบกไม้กางเขนของตน

และติดตามเรา”

(มาระโก 8:34)

บทเพลงจงรักซึ่งกันและกันท่อนหนึ่งขับขานไว้ว่า

“จงอภัยในความผิดและเคืองโกรธ  ยกโทษทัณฑ์ให้กันไป

ยกโทษให้ ไม่จะเป็นผู้ใด ดังที่เรายกให้ท่าน”

ข้าพเจ้ามีบาปมากมายนับไม่ถ้วนถ้าพระเจ้าเปิดรายการชีวิตของข้าพเจ้าออกมา

ข้าพเจ้าเองก็ไม่สมควรได้รับการอภัยด้วยซ้ำไป

แต่เพราะพระเจ้าทรงรักและให้อภัยข้าพเจ้าเสมอ

ข้าพเจ้าจึงพยายามที่จะรักและให้อภัยผู้อื่นให้ได้เช่นกัน

“จงรักซึ่งกันและกัน ดังที่เรารักท่าน”

..............................

S