“ทรงกำชับเขาไม่ให้นำสิ่งใดไปด้วย”

(มาระโก 6:8)

ถ้อยคำสอนของพระคริสตเจ้า

มักจะเรียกร้องให้มนุษย์ฝึกที่จะออกจากตนเอง

และก้าวเข้าไปอยู่ในใจของผู้ที่ต่ำต้อย และทุกข์ยากมากกว่าตน

เพราะมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเรียกร้องหาความสุขส่วนตนอยู่เสมอ

หากไม่มีข้อคำสอนของพระคริสตเจ้าคอยเป็นกรอบในการดำเนินชีวิต

มนุษย์ก็คงหลงลืมความรู้สึกเอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นแน่แท้

ข้าพเจ้าเคยนึกสงสัยอยู่ในใจว่า

ทำไมไม่เคยมีข้อคำสอนให้มนุษย์เจริญชีวิตอยู่บนความสุข

หาหนทางสร้างความสะดวกสบายให้แก่ตนเองบ้าง

แต่พอมาคิดถึงความเป็นจริง

พื้นฐานของมนุษย์เองก็ไขว่คว้าหาความสุขอยู่แล้ว

หากไม่มีกรอบข้อคำสอน มนุษย์คงหาความสุขจนลืมคิดถึงความทุกข์ของผู้อื่น

แม้กระทั่งอาจจะไปเบียดเบียนผู้อื่นอย่างอยุติธรรมเพื่อความสุขส่วนตนด้วย

นอกจากพระคริสตเจ้าจะมีกรอบให้มนุษย์รู้จักเสียสละความสุขส่วนตัวแล้ว

ยังเพาะบ่มความรัก การให้อภัยลงในใจของมนุษย์ด้วย

ให้มนุษย์รู้จักที่จะรัก  รู้จักที่จะอวยพรคนรอบข้างเพื่อให้เขามีความสุข

แม้แต่บุคคลที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย

“องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ไปเถอะ จงไปประกาศพระวาจา

แก่อิสราเอล ประชากรของเรา

(อาโมส 7:15)

พี่สาวตัวน้อยอายุเพียง 4 ปี มีน้องสาวตัวเล็กอายุ 3 ปีที่ไม่ค่อยจะแข็งแรงนัก

พี่สาวตัวน้อยรับรู้ว่าน้องของตนไม่แข็งแรง

เธอจึงพยายามที่ดูแลช่วยเหลือน้องในทุกทาง

แม้ในหลายๆครั้ง น้องสาวตัวน้อยจะเกเรพี่สาวไปบ้าง

แต่พี่สาวก็ให้อภัยเสมอ  ไม่เคยถือโทษโกรธเลย

ผิดกับเด็กๆหลายคนในวัยนี้

ถ้าถูกแย่งของเล่น  เด็กๆทั่วไปก็จะแย่งกลับคืน

แต่พี่สาวไม่เคยแย่งคืน เธอรอจนกว่าน้องจะทิ้งของชิ้นนั้น

แล้วจึงนำกลับคืนมา

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้มีหัวใจรักเพื่อคนรอบข้าง

ไม่ใช่เพื่อตนเองเท่านั้น

เมื่อเราถูกเติมเต็มด้วยความรักจนล้นปรี่แล้ว

เราจึงมีความรักมากพอที่จะแบ่งปันผู้อื่น

เพราะคนที่ไม่มีก็ให้ไม่ได้  คนที่ไม่เคยให้ก็จะไม่มีต่อไป

เก็บเกี่ยวความรักจากแหล่งกำเนิดแห่งรัก

นำมาทอถัก ให้เป็นผืนความรักอันยิ่งใหญ่

ที่พร้อมจะห่อห่มให้คนรอบข้างอบอุ่นใจ

ทั้งยังเป็นผู้ให้ แบ่งใยรักกลับไปถักทอ

ส่งต่อเส้นใยแห่งความรักอันสุขล้น

ให้กับทุกๆคนที่กำลังอ่อนแอระย่อท้อ

ได้มีพลัง แห่งสายใยรักชักจูงให้ก้าวเดินต่อ

และมีดวงตาแห่งรักที่เฝ้ารออย่างห่วงใย

………………………….

S