“ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด

ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน”

(มาระโก 6:4)

เด็กชายคนหนึ่งถูกส่งต่อพฤติกรรมในแต่ละระดับชั้นเรียน

ว่าเป็นเด็กที่ไม่เอาถ่าน  ขี้เกียจสันหลังยาว

ค้างงานขาดความรับผิดชอบ

เมื่อขึ้นชั้นเรียนในระดับที่สูงขึ้น

ก็ถูกส่งต่อพฤติกรรมเช่นนี้ในทุกระดับชั้นไป

มารดาของเด็กชายรู้สึกสงสารบุตรชายของตนมาก

แต่ก็ทำกระไรไม่ได้เนื่องจากยังมีข้อผูกมัดหลายด้านในสถานศึกษาของบุตรชาย

เธออดทน และให้กำลังใจบุตรชายของตน

พยายามสอนให้บุตรชายของตนมองอุปสรรคต่างๆให้เป็นประสบการณ์ชีวิต

พยายามดึงพรสวรรค์ที่บุตรชายของตนมีให้ส่องแสงออกมาเป็นกิจการ

จวบจนบุตรชายจบการศึกษาในระดับหนึ่งของสถาบันแห่งนี้

และไปต่อในระดับชั้นต่อไปของอีกสถาบันหนึ่ง

ณ ที่ใหม่แห่งนี้  แสงแห่งพระพรของบุตรชายเริ่มส่องประกาย

พรสวรรค์ที่เคยถูกซุกซ่อนอยู่เริ่มได้รับการยอมรับ

ความตั้งใจใหม่ในสถาบันแห่งใหม่ทำให้บุตรชายได้รับชีวิตใหม่ด้วย

เมื่อสถานที่แห่งใหม่ให้การยอมรับ

เปิดประตูและกางแขนออกต้อนรับชีวิตที่เคยติดลบของบุตรชาย

พระพรต่างๆก็เริ่มไหลหลั่งมาอย่างท่วมท้น

บุตรชายเริ่มเห็นคุณค่าและศักยภาพที่ถูกกดไว้ภายในแห่งตน

ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกสถานศึกษา

เมื่อเด็กคนหนึ่งไม่ได้รับการยอมรับจากสถานศึกษาหนึ่ง

แต่เมื่อย้ายสถานศึกษากลับได้รับการยอมรับมากกว่าที่เดิม

เมื่อบุคคลได้รับการยอมรับ บุคคลนั้นย่อมมีโอกาสพัฒนาตนเองมากขึ้น

เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงพระวาจาจากพระวรสารนักบุญมาระโกข้างต้น

ความว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด”

(มาระโก 6:4)

พระเยซูเจ้าถูกเหยียดหยามในถิ่นกำเนิด

ว่าเป็นเพียงลูกช่างไม้ธรรมดาคนหนึ่ง

จะเอาความอำนาจใดมาเทศน์สอน หรือกระทำการอัศจรรย์ได้

ในขณะที่เมื่อพระเยซูเจ้าออกเทศนาสั่งสอน และทำการอัศจรรย์ในต่างถิ่น

กลับรับการยอมรับมากมายจากประชาชน

ดังนั้น หากชีวิตของเราจะไม่ได้รับการยอมรับบ้าง

จะถูกติฉินนินทา หรือถูกกล่าวร้ายใส่ความ  ถูกทำร้ายบ้าง

เราเองก็ควรจะน้อมรับและมองชีวิตของพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่างเสมอ

ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน

ข้าพเจ้าเคยถูกดูหมิ่นถึงความอ่อนแอ

เคยถูกมองด้วยสายตาดูแคลนถึงความไม่เอาถ่านในหลายๆเรื่อง

เคยถูกดูถูกเหยียดหยามถึงความเฉื่อยช้าและไม่ทันผู้ทันคน

จากบุคคลที่เข้มแข็งกว่า

แต่เมื่อข้าพเจ้าพยายามค้นหาเอาพรสวรรค์ที่ข้าพเจ้ามี

ออกมาแสดงเป็นกิจการในสถานที่ที่ข้าพเจ้าจะได้รับการยอมรับ

ถูกที่ ถูกโอกาส กิจการนั้นก็ส่องสว่างไสวไปได้สวยงามยิ่งนัก

ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศถึงกิจการนั้นให้กับคนที่เคยดูแคลนข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องกระทำสิ่งใดเพื่อลบล้างจุดด้อยของตนเอง

แต่ข้าพเจ้าจะให้กิจการดีที่เกิดจากพรสวรรค์ของข้าพเจ้าที่พระเจ้าทรงประทานให้

ค่อยๆส่องแสงออกมาด้วยตัวของมันเอง

ประกาศด้วยกิจการของมันเอง

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าทั้งหลาย

ทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด

เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายถูกดูหมิ่นมากเกินไปแล้ว

ข้าพเจ้าทั้งหลายทนการเยาะเย้ยจากคนโอหัง

และทนการดูหมิ่นจากผู้หยิ่งยโสมากเกินไปแล้ว”

(สดุดี 123:4)

ให้กิจการ  ของเรา  ส่องสว่าง

เปิดเส้นทาง  แห่งพระพร สอนใจมั่น

ทุกกิจการ  ฉายภาพลักษณ์  พระทรงธรรม์

ส่องเฉิดฉันท์  นำสวรรค์  สู่ชาวชน

………………………….

S