“รางวัลของข้าพเจ้าอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน”

(อิสยาห์ 49:4)

นักบุญยอห์นบัปติสต์ ดำเนินชีวิตของท่าน

อย่างทุ่มเทจริงจังเพื่อการเตรียมทางสำหรับพระคริสตเจ้า

ตลอดชีวิตของท่านเท่าที่ข้าพเจ้าพบในพระคัมภีร์

ไม่ได้มีกิจการใดกระทำเพื่อสนองความสุขของตนเองเลย

“เขาสวมเสื้อผ้าทำจากขนอูฐ และกิจน้ำผึ้งกับตั๊กแตน”

(มัทธิว 3:4)

ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรก็ไม่อาจจะล่วงรู้ได้

หลายคนจึงดำเนินชีวิตกอบโกยเอาความสุขใส่ตัว

ก้าวข้ามผ่านความทุกข์ยากของคนรอบข้างโดยมิได้หันกลับมาใยดี

เพื่อสนองความสุข ความต้องการของตนให้อิ่มเอมสุขสบาย

ข้าพเจ้าเองก็ไม่ต่างกันกับมนุษย์ผู้ไขว่คว้าหาความสุขสบายเหมือนคนอื่นๆหรอก

อะไรที่ทำแล้วพอจะทำให้สุขกายสบายใจ ข้าพเจ้าก็ทำ

อะไรที่ทำแล้วรู้สึกทุกข์กายทุกข์ใจข้าพเจ้าก็พยายามจะปัดป้องให้พ้นตัว

โดยไม่ใส่ใจกับรายละเอียดชีวิตคนรอบข้างให้มากยิ่งขึ้น

ครั้งหนึ่งมีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพยายามจะตามหาข้าพเจ้า

เพื่อบ่นระบายเรื่องราวบางสิ่งบางอย่างให้ข้าพเจ้าฟัง

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าการรับฟังเช่นนี้ช่างเสียเวลาและเปล่าประโยชน์เสียเหลือเกิน

มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกหงุดหงิดและไม่พร้อมจะเป็นที่ระบายเอาเสียเลย

แม้ข้าพเจ้าจะไม่ได้แสดงออกซึ่งอาการหงุดหงิดนั้นก็ตาม

แต่เมื่อข้าพเจ้ากลับมาทบทวนชีวิตตนเอง

สมัยข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น

ข้าพเจ้าอ่อนแอ  ขี้ขลาด หวาดกลัว  ไม่มีความมั่นใจในตนเอง

และร้องไห้ง่ายๆ กับเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ

หลายครั้งที่ข้าพเจ้าพยายามจะอธิบายความคิดของตนเองให้คนที่เข้มแข็งกว่าฟัง

มันกลายเป็นความน่ารำคาญ  น่าเบื่อสำหรับพวกเขาเหล่านั้น

แต่กลับมีอาจารย์ท่านหนึ่งที่รับฟังข้าพเจ้า  มองข้าพเจ้าด้วยสายตาเอื้อเอ็นดู

พร่ำบอกข้าพเจ้าเสมอว่าข้าพเจ้าเก่ง ข้าพเจ้ามีพระพรของพระเจ้า

ข้าพเจ้าทำได้ทุกอย่างในพระเจ้าผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

อาจารย์ท่านนี้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกพบคุณค่าในตนเองมากขึ้น

มีพลังในการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาจุดด้อยของตนเองมากขึ้น

ผู้ฟังการระบายปัญหาชีวิตที่ดีจึงต้องเป็นผู้ที่เสียสละ ทั้งเวลา  ความรู้สึก  ความคิด

ที่สำคัญคือคำพูดสั้นๆที่จะเสริมแรงผู้ที่ต้องการระบายปัญหาชีวิต

ข้าพเจ้าทบทวนตัวเองและบอกตัวเองเสมอ

ให้รู้จักเป็นผู้ฟังที่ดี  เป็นพลังชีวิตให้กับคนรอบข้างที่พลังชีวิตของเขาริบหรี่สิ้นหวัง

ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกอึดอัดต่อการรับฟัง

ข้าพเจ้าจึงระลึกเสมอว่า ครั้งเมื่อตัวเองเคยถูกทอดทิ้งจากการรับฟังมานั้น

รู้สึกเช่นไร  สิ้นหวัง และท้อแท้เพียงไหน

ศักดิ์ศรี และคุณค่าของมนุษย์แต่ละคน เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า

เราทุกคนเป็นของพระองค์

ทุกครั้งที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นฉันใด  เราก็ปฏิบัติต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าฉันนั้น

“ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์

ที่ทรงสร้างข้าพเจ้าให้เป็นดังปาฏิหาริย์

พระราชกิจของพระองค์น่าพิศวง พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างดี”

(สดุดี 139:14)

รางวัลข้าพเจ้าคือสิ่งใด

ที่ทุ่มเทลงไปใช่สูญเปล่า

ทุกปัญหาสารพันมันรุมเร้า

ข้าพเจ้าทดท้อและถอดใจ

เมื่อมองย้อนกลับไปในความจริง

ทุกๆสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบให้

คือพระพรเพื่อผู้อื่นใช่เพื่อใคร

รางวัลยิ่งใหญ่ใช่แผ่นดิน

………………………….

S