“เพราะพระองค์ทรงยอมรับความตาย

เพื่อลบล้างการล่วงละเมิด

ตามเงื่อนไขของพันธสัญญาเดิมแล้ว”

(ฮีบรู 9:15)

มนุษย์มีแนวโน้มที่จะยึดตัวตนของตน เอาตนเป็นที่ตั้งอยู่เสมอ

การออกจากตนเอง หรือยอมรับสภาพปัญหาของตนเอง

จึงเป็นไปได้ลำบากยิ่งนัก

ต่างคนต่างเรียกร้องสิทธิประโยชน์ของตนเอง

ต่างเรียกร้องความยุติธรรมให้ตนเอง

จนบางครั้งก็ละเมิดความยุติธรรมต่อผู้อื่น

ข้าพเจ้าได้ฟังข่าวเกี่ยวกับเงินเบี้ยเลี้ยงต่างๆของหญิงคลอดบุตร

เด็กทารก ผู้สูงอายุ  คนว่างงาน

ที่รัฐจัดสรรให้เพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก  แต่ก็ยังคงมีปัญหาอยู่ดี

เงินไม่กี่ร้อยถ้าจะมองในฐานะผู้รับ มันก็น้อยแต่มีค่ายิ่งนัก

แต่ถ้ามองในฐานะผู้จัดสรร มันก็ต้องใช้งบประมาณมากมาย

จึงเกิดประเด็นงบประมาณไม่เพียงพอขึ้นมาอีก

ข้าพเจ้ามองมุมกลับไปกลับมาแบบชาวบ้านมอง

อันเงินเพียงไม่กี่ร้อยนั้น  คนเป็นเศรษฐีคงไม่สะทกสะท้านสิ่งใด

แลจะเห็นเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งอีกด้วยนี่เล่า

แต่เมื่อมองในมุมผู้ทุกข์ยาก เงินเพียงไม่กี่บาทก็มีค่าสำหรับเขามากนัก

มีคนเคยบอกข้าพเจ้าว่า

หากในซอกกระเป๋าของเรายังมีเศษเหรียญมากมาย

นั่นแสดงว่าเรายังมีกินมีใช้ไม่ได้ขาดแคลน

จงใช้ในความพอมีของตนด้วยความพอใจ และพึงอยู่กับความพอเพียงเถิด

ในวันนี้พระเยซูเจ้าทรงสอนข้าพเจ้าเช่นนั้น

พระองค์ทรงสอนให้ข้าพเจ้าออกจากตนเองเพื่อผู้อื่น

มองมุมของคนอื่นบ้างไม่ใช่มองในมุมมองเฉาพะของตนเองเท่านั้น

เหมือนที่พระองค์ทรงออกจากตนเอง

ใส่ใจทุกรายละเอียดของข้าพเจ้าและมนุษย์ทุกคน

ผ่านพระกายและพระโลหิตศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

ที่ถวายเป็นบูชาเพื่อลบล้างบาปโทษของชาวเรา

...........................

มองคนมั่งมีแล้วอิจฉาก็เกิดบาปในใจ

มองผู้ทุกข์ยากนั้นไซร้ทำให้ใจรู้จักปล่อยวาง

ชีวิตที่ผ่านขวากหนามรายทาง

ย่อมเป็นผู้สร้างให้เกิดภูมิต้านทานที่แข็งแรง

รู้จักเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้

แล้วจะได้รับความสุขใจที่ไม่ใช่การเสแสร้ง

มองขวากหนามที่ก่อชั้นเป็นกำแพง

ให้เป็นช่องทางแห่งความรักและพระพร

มีชีวิตของพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่าง

แล้วก้าวไปในทางตามคำพระองค์สอน

ลดความเป็นตัวตนของตนในบางบทบางตอน

แล้วสิ่งดีดีจะคืนย้อนกลับสู่ตัวเราเอง

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระองค์

ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระองค์

เป็นบุตรของหญิงรับใช้พระองค์

พระองค์ทรงปลดโซ่ตรวนที่จองจำข้าพเจ้า”

(สดุดี 116:16)

ข้าพเจ้าสำนึกอยู่เสมอถึงโซ่ตรวนแห่งความผิดพลาดในชีวิต

ที่เป็นประสบการณ์ตรึงสอนข้าพเจ้าในอดีตที่ผ่านมา

สิ่งเหล่านั้นทำให้ข้าพเจ้ารู้จักที่จะให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายขึ้น

และรู้จักที่จะรับใช้ผู้อื่นโดยไม่โต้เถียง บ่นว่ามากยิ่งขึ้น

ประสบการณ์ความผิดพลาดสอนให้ข้าพเจ้า

รู้จักระมัดระวังทุกก้าวของการดำเนินชีวิตที่จะส่งผลต่อจิตวิญญาณ

และเพื่อนมนุษย์รอบกายก็เป็นครูผู้สอนให้ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเลือก

นำสิ่งดีดีมาเป็นแบบอย่างในการเจริญชีวิตประจำวัน

และนำสิ่งไม่ดีมาเตือนใจให้ระมัดระวังอย่าเผลอกระทำตาม

เอวาเป็นแบบอย่างของความอ่อนแอ  ความไม่เชื่อฟัง

จึงส่งผลให้พ่ายแพ้ต่อคำยั่วยุของมารร้าย

ข้าพเจ้าเองก็เช่นกัน ยามใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอต่ออำนาจฝ่ายต่ำ

ยามนั้นข้าพเจ้าก็จะหลงเดินออกนอกหนทางแห่งความรอด

บทเพลงหนทางรักซึ่งถูกขับร้องตั้งแต่สมัยข้าพเจ้ายังเล็กก็ดังแว่วมาในจิตสำนึกว่า

“ขอองค์พระเจ้าประทานความสุข

ให้ลูกพ้นทุกข์ได้รับสุขศานต์

ให้รักซึมซาบตราบนานเท่านาน

ขอองค์ภูบาลประทานพรหลั่งดั่งสายพิรุณ

เหมือนดังได้เข้าวิมานศักดิ์สิทธิ์

ขอองค์ทรงฤทธิ์ผู้คิดเกื้อหนุน

มอบรักแบบอย่างพรั่งพร้อมพระคุณ

ทั้งทรงการุญให้ลูกได้พ้นโทษทัณฑ์.......”

………………………….

S