“ท่านทั้งหลาย จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง

...เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”

(มาระโก 16:15,18)

ในวันที่ข้าพเจ้าไปนำเสนองานของตนเองเพื่อรับการประเมิน

ข้าพเจ้ากล่าวแก่ผู้ประเมินอย่างเต็มภาคภูมิว่าข้าพเจ้าทำหน้าที่

เป็นหัวหน้างานประกาศข่าวดี

ข้าพเจ้าประกาศพระวาจาของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ

ข้าพเจ้าจัดกิจกรรมมากมายเพื่อประกาศเรื่องราวของพระองค์

แต่...พระองค์ทรงตรัสถามข้าพเจ้าผ่านเหตุการณ์หนึ่งว่า

ในขณะที่ปากของข้าพเจ้าประกาศเรื่องราวของพระองค์นั้น

ข้าพเจ้าได้เชื่อในถ้อยคำที่ตนเองประกาศมากน้อยเพียงใด

ในวันที่ข้าพเจ้าได้รับทราบข่าวคราวความเจ็บป่วยอย่างหนักของเพื่อนที่น่ารักคนหนึ่ง

ความเจ็บป่วยที่ข้าพเจ้าไม่อาจยืนยันได้เลย

ว่าด้วยความเชื่อของข้าพเจ้าที่มีต่อพระเจ้า เขาจะต้องหายจากโรคร้ายนั้นแน่นอน

ด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงรู้ตัวเองดีว่าข้าพเจ้าช่างมีความเชื่อน้อยเสียเหลือเกิน

สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าสามารถเพิ่มพูนความเชื่อของตนเองได้

ก็คือการสวดภาวนา และอ่านพระวาจาของพระองค์ให้ถึงแก่นแท้ของความรัก

ถึงแก่นแท้ของคำสอนที่พระองค์ทรงมอบให้

ข้าพเจ้าเขียนข้อความให้กำลังใจแก่เพื่อนที่ป่วยนั้น

ได้เพียงว่า ด้วยความเชื่ออันน้อยนิดของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจะดำเนินชีวิตด้วยความรักต่อคนรอบข้าง

จะให้อภัยผู้ที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บปวด

จะรักผู้คนรอบข้างให้มากกว่าที่เคยรัก

และขอให้ความพยายามที่จะทำสิ่งเหล่านี้

ได้ส่งผลให้เพื่อนของข้าพเจ้าได้รับความบรรเทาจากความเจ็บปวดได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดทุกอย่างไม่ใช่ข้าพเจ้า

เหตุการณ์ทุกอย่างบนความเชื่ออันน้อยนิดของข้าพเจ้า

ก็ยังคงเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักเสมอ

“พระองค์ตรัสตอบว่า “ไม่ใช่ธุระของท่านที่จะรู้วันเวลา

ที่พระบิดาทรงกำหนดไว้โดยอำนาจของพระองค์

แต่พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือท่าน

และท่านจะรับอานุภาพเพื่อจะเป็นพยานถึงเรา...”

(กิจการอัครสาวก 1:7-8)

เพราะความเชื่อเป็นพระพร เพราะพระเมตตาของพระองค์มากล้น

ความเชื่อจึงมาพร้อมกับความไว้วางใจ และความรักของพระเจ้า

ที่ทรงมีต่อข้าพเจ้าผู้อ่อนแอ และบกพร่องอยู่เสมอ

หน้าที่ของข้าพเจ้าจึงต้องประกาศข่าวดีของพระองค์

และไว้วางใจในพระเมตตาที่จะประทานพระพรแห่งความเชื่อ

บนกิจการที่เต็มไปด้วยความรักและความไว้วางใจในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

ข้าฯคือผู้ประกาศข่าวดี

แม้ความอ่อนแอจะย่ำยี ข้าฯไม่ถอย

เพราะข่าวดีนั้นงดงามยิ่งกว่าเพชรพลอย

สิ่งที่ข้าฯรอคอยคือพระพรจากพระเมตตา

บทเรียนที่ข้าพเจ้าได้รับจากประสบการณ์การรับฟังข่าวคราวความเจ็บป่วยนี้

ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักมากยิ่งขึ้นว่า ชีวิตมีค่าและต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง

ใช้ให้เกิดคุณค่าต่อคนรอบข้าง ใช้เพื่อนำความรักที่พระเจ้ามอบให้เรา

ไปทวีให้มากกว่าที่เคยกระทำเพื่อคนรอบข้าง

ข้าพเจ้าแบ่งปันเรื่องราวนี้แก่คนในครอบครัว

เพื่ออยากบอกต่อถึงการดำเนินชีวิตที่เราไม่รู้ว่าวันสุดท้ายคือวันใด

เราจะดำเนินชีวิตทิ้งขว้างไปวันๆหรือ

เราจะดำเนินชีวิตเพื่อกอบโกยต่อไปหรือ

เราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้เกิดผลงานในนาข้าวของพระเจ้าได้บ้างเล่า

หากจะกอบโกยบนโลกใบนี้ ก็พึงกอบโกยแย่งชิงกันทำความดี

แย่งชิงกันแจกจ่ายความรักแบบไม่หวังผลดีกว่าใช่ไหม

จงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท

จงเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา

จงใช้ชีวิตเพื่อสร้างความรักความเมตตา

จงใช้มันสร้างคุณค่าให้กับคนในสังคม

………………………….

S