“ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา

ก็ย่อมเกิดผลมาก

เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย”

(ยอห์น 15:5)

ในวันที่ข้าพเจ้าและครอบครัวร่วมกันป่วยแบบพร้อมเพรียง

มันเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน

เพราะคนป่วยต้องพาคนป่วยไปหาหมอบนถนนที่การจราจรติดขัด

คนหนึ่งเป็นไข้สูง อีกคนหนึ่งไออย่างหนัก

เราต้องฝากการดูแลทั้งหมดบนท้องถนนไว้กับพระเมตตาของพระเจ้า

เรามีความหวังที่จะต้องหายอย่างเร็ววัน

เพื่อให้ทันช่วงเวลาแห่งการเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัว

ซึ่งในรอบปีมีเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น

เราจะป่วยยาวนานไม่ได้

เพราะหน้าที่การงานของเราที่ต้องกระทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ในช่วงเวลาที่ป่วยสอนให้ข้าพเจ้ารู้ว่า

ข้าพเจ้าช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยหากขาดพระเจ้าทรงเมตตาดูแล

ความทุกข์จากการเจ็บไข้ได้ป่วย

สอนให้ข้าพเจ้ารู้ว่ากางเขนนั้นหนักหนากว่านี้มากนัก

ข้าพเจ้าจึงขอยกความทุกข์ยากอันเนื่องมาจากความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้

เพื่อชดเชยความผิดบาปที่ข้าพเจ้าเคยกระทำมา

“ถ้าเราวอนขอสิ่งใด เราย่อมได้รับสิ่งนั้นจากพระองค์”

(1ยอห์น3:22)

ข้าพเจ้านึกถึงเพลง “พระเจ้าดีต่อฉัน” อยากให้ทุกคนได้ฟังในวันอ่อนล้าของชีวิต

https://www.youtube.com/watch?v=C7M67aTtUTU

เนื้อเพลง  พระเจ้าดีต่อฉัน

 เหตุใดพระคริสต์ ทรงดีต่อฉัน ในวันที่ฉัน ล้มลง

  หมดแรงไม่เหลือ ไม่ว่าใครก็คง ไม่อาจเติมสิ่ง…..ที่หายไป

 ในวันที่เหลือ มีแต่เพียงร่างกาย ในใจร้องหา พระองค์

  ที่เติมเต็มฉัน ช่วยให้วันผ่านพ้น ในใจร้องบอกกับฉัน.. ว่า

     * พระเจ้าดีต่อฉัน และพระองค์ทรงเติมฉัน

  ในวันที่อ้อนล้า และทรงทันเวลาเสมอ

 ไม่ช้าและไม่สาย ไม่รีบร้อนตามใจฉัน

 ทรงดี ดีต่อฉัน และทรงทันเวลาเสมอ

 

ในวันที่อ่อนล้าที่สุดของชีวิต

ข้าพเจ้าคงทำได้เพียงร้องขอให้พระองค์ทรงเมตตาตามน้ำพระทัยของพระองค์

และข้าพเจ้าก็มั่นใจในพระเมตตาของพระองค์ว่าจะทรงทันเวลาเสมอ

ในทุกงาน ทุกกิจการ ตามวาระ ตามความเหมาะสม

ความเชื่อจะช่วยให้ข้าพเจ้ารอดพ้น

ความหวังจะช่วยให้ข้าพเจ้ามีพลังจะสู้ต่อไป

และความรักจะเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตยังคงอยู่อย่างมีความหมาย

“ผู้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าจะสรรเสริญสดุดีพระองค์

ขอให้เขาทั้งหลายมีชีวิตอย่างเป็นสุขตลอดไป”

(สดุดี 22:26)

………………………….

S