พระเยซูเจ้าตรัสว่า...“ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง
ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย
เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเรา
และแกะของเราก็รู้จักเรา”
(ยอห์น 10:13-14)
ข้าพเจ้ามีพี่สาวอยู่ 1 คน อายุห่างกัน 1 ปีถ้วนๆ
เพราะเราเกิดเดือนเดียวกันแต่คนละปีเท่านั้นเอง
พี่สาวของข้าพเจ้าเธอเป็นคนที่มีความมั่นใจในตนเอง
ปราดเปรียวว่องไว คิดไว และรู้เท่าทันต่อความคิดของคนอื่น
หากจะเปรียบกับข้าพเจ้าก็คนละขั้วกันเลยทีเดียว
ดังนั้น พ่อและแม่ของข้าพเจ้าจึงมักจะให้พี่สาวคอยดูแลข้าพเจ้ามาตลอด
พ่อและแม่รู้จักลูกๆของท่านว่าใครมีลักษณะนิสัยอย่างไร
และควรได้รับการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องอะไรเป็นพิเศษ
ท่านห่วงข้าพเจ้าเพราะข้าพเจ้าช้าและไม่ค่อยจะทันต่อความคิดของคนอื่น
ขี้อายและไม่กล้าแสดงออก กลัวที่จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การปะทะทุกรูปแบบ
ท่านรู้จักว่าพี่สาวข้าพเจ้าเป็นคนอย่างไร
และท่านจะวางแผนอย่างไรกับลูกสาวของท่านที่มีบุคลิกแตกต่างกันเช่นนี้
สำหรับข้าพเจ้า ความแตกต่างระหว่างบุคคลเป็นความสวยงามของมนุษย์
เมื่อผู้ที่เข้มแข็งกว่าต้องคอยปกป้องผู้ที่อ่อนแอกว่า
และผู้ที่อ่อนแอกว่า หากแต่มีความอ่อนโยนด้วย
ก็จะใช้ความอ่อนโยนนี้เพื่อบรรเทาใจผู้อื่นเช่นกัน
นี่คือความสวยงามของความแตกต่าง
พระเยซูเจ้าทรงรู้จักแกะของพระองค์ทุกตัว
พระองค์ทรงรู้ว่า แกะแต่ละตัวแตกต่างกันอย่างไรบ้าง และควรดูแลอย่างไร
พระองค์มีแผนการและวิธีการสำหรับแกะทุกตัว
ข้าพเจ้าในฐานะแกะตัวหนึ่งก็เช่นกัน
หากข้าพเจ้ารู้จักที่จะเชื่อฟังผู้เลี้ยง มีหูที่คอยฟังเสียงเรียกของพระองค์
มีปากที่จะร้องเรียกหาพระองค์อยู่เสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ถูกสุนัขป่าจ้องทำร้าย
พระเยซูเจ้าตรัสว่า...“ลูกจ้างวิ่งหนีเพราะเขาเป็นเพียงลูกจ้าง
ไม่มีความห่วงใยฝูงแกะเลย
เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี เรารู้จักแกะของเรา
และแกะของเราก็รู้จักเรา”
(ยอห์น 10:13-14)
ในสมัยเป็นนักเรียน ครูบางท่านก็ออกจะรำคาญกับบุคลิกของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจำได้ว่า ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเพิ่งฟื้นจากการป่วยและมาโรงเรียนวันแรก
เช้าวันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้ลงไปเข้าแถว เพราะแม่สั่งข้าพเจ้าว่าไม่ต้องลงไปตากแดด
ยังไม่ค่อยหายดี ให้อยู่รอเพื่อนบนห้องเรียน
ในขณะที่ข้าพเจ้านั่งรอเพื่อนบนห้องเรียน
ครูท่านหนึ่งเข้ามาในห้องและถามข้าพเจ้าว่า ทำไมไม่ลงไปเข้าแถว
ข้าพเจ้าเรียนท่านไปด้วยเสียงแบบขลาดกลัวว่า
ข้าพเจ้าเพิ่งหายป่วย ยังลงไปตากแดดไม่ได้
ครูท่านนั้นบอกกับข้าพเจ้าว่า “ป่วยการเมืองละสิไม่ว่า
ป่วยเป็นอะไร ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
ข้าพเจ้าน้ำตาแทบร่วง ผนวกกับความเป็นคนไม่กล้าอยู่แล้วเลยกลัวไปหมด
ยื่นแขนให้ครูดูแบบหวาดๆ และบอกครูว่า กำลังจะหายค่ะ
พร้อมยื่นแขนให้ดูส่าไข้ที่ขึ้นเป็นผื่นแดงๆเต็มแขน
ท่านมองข้าพเจ้าแบบไม่ใยดีอะไรมากนัก แล้วเดินจากไป
นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าสนใจที่จะมองบุคลิกของแต่ละคน
ที่แตกต่างกัน และพยายามมองหาข้อดีของความแตกต่างนี้
ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าโตขึ้น ข้าพเจ้าจึงเรียนรู้ว่า ความแตกต่างนี้แหละที่ทำให้โลกเราน่าอยู่
ข้าพเจ้าจะเข้มแข็งไม่ได้เลยถ้าข้าพเจ้ายังเจอแต่คนที่คอยประคบประหงมข้าพเจ้า
แต่อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์
ที่สอนให้ข้าพเจ้าเห็นพระพรของความแตกต่าง
แต่ในประสบการณ์นั้นก็สอนข้าพเจ้าด้วยว่า
ลูกจ้างมิได้ห่วงใยแกะของตน เหมือนผู้เลี้ยงที่ดี
เขาทำตามหน้าที่แบบเสียมิได้
แต่พ่อแม่ของข้าพเจ้าเป็นตัวแทนของพระเยซูเจ้าที่ห่วงใยข้าพเจ้า
และเข้าใจความเป็นตัวตนในแบบของข้าพเจ้า
ท่านไม่ได้หวังให้ข้าพเจ้าต้องเก่งกล้าสามารถกว่าใคร
แต่ท่านพอใจในความเป็นข้าพเจ้า
และหวังเพียงให้ข้าพเจ้าอยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
“จงขอบพระคุณองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระองค์พระทัยดี
ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์
ลี้ภัยมาพึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ย่อมดีกว่าวางใจในมนุษย์
ลี้ภัยมาพึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ย่อมดีกว่าวางใจในบรรดาเจ้านาย”
(สดุดี 118:1และ8-9)
ข้าฯคือแกะ ตัวน้อย ของพระเจ้า
มาหมอบเฝ้า พระเจ้า เข้าใจข้าฯ
ในความต่าง คือพระพร พระเมตตา
ทรงดูแล รักษา ข้าฯ ปลอดภัย
…………………………. |