“เอโลอี เอโลอี เลมา สะบัคทานี” ซึ่งแปลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าแต่พระเจ้า
ทำไมพระองค์จึงทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า”
(มาระโก 15:33)
ประโยคนี้ข้าพเจ้าได้ยินมาแต่เล็กแต่น้อยในสมัยข้าพเจ้ายังเด็ก
ช่วงปลายๆเทศกาลมหาพรตในบทพระวรสารที่แสนยาวเหยียด
แต่คำที่ถูกเขียนขึ้นใหม่ อาจจะเปลี่ยนแปลงไปทำให้ไม่คุ้นหูไปบ้าง
ข้าพเจ้าจำได้ว่า เมื่อยังเล็ก ประโยคนี้เขียนไว้ว่า
“เอลี เอลี ลามา สะบัคธานี”
ซึ่งข้าพเจ้าก็พยายามศึกษาหาความหมายของคำที่เปลี่ยนไป
เพื่อให้หายสงสัย ของความเป็นเจ้าหนูจำไมของตนเอง
คำว่า “เอลี” หรือ “เอโลอี” ต่างก็แปลว่า “พระเจ้าของข้าพเจ้า”
หรือในพระคัมภีร์คาทอลิกแปลไว้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า”
หากแต่ว่า “เอลี” เป็นภาษาฮีบรู
ส่วน “เอโลอี” บ้างก็ว่าเป็นภาษาอาราเมอิค บ้างก็ว่าเป็นภาษาฮีบรู
แต่จะภาษาไหนก็ตามแต่
ทุกครั้งก่อนที่พระเยซูเจ้าจะออกกระทำภารกิจใดใดก็ตาม
พระองค์มักจะเสด็จไปประทับในที่เงียบสงัดเพื่อภาวนา
และภาวนาต่อพระบิดาเจ้าเสมอ
ในครั้งสำคัญนี้ก็เช่นกัน พระองค์ทรงร้องเรียกหาพระบิดาเจ้า
และทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาเจ้าตลอดมา
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเล่าถึง การสนทนากันของปีศาจ 2 ตัว ที่สนทนากันว่า
จะล่อลวงมนุษย์ที่มีความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไรดี
ปีศาจตัวหนึ่งกล่าวว่า
“ไม่มีอะไรที่อันตรายต่อเรามากไปกว่า
เวลาที่มนุษย์…มองไปรอบๆแล้วไม่เห็นร่องรอยของพระเจ้า
และถามว่า ทำไมเขาจึงถูกทอดทิ้ง แต่ยังคงเชื่อฟังอยู่”
ข้าพเจ้าอ่านทวนประโยคที่ปีศาจตัวนี้พูดและไตร่ตรองอยู่หลายรอบทีเดียว
มันเหมือนเป็นประโยคปฏิเสธ ซ้อนปฏิเสธ
ซึ่งสำหรับข้าพเจ้าก็จะตีความหมายได้ว่า
ในวันที่มนุษย์มีปัญหาเหมือนดั่งหนึ่งถูกพระเจ้าทอดทิ้ง
ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพระเจ้าในชีวิตของเขา
แต่เขาก็ยังคงเชื่อในพระเจ้าอยู่ดี
นี่แหละคือสิ่งที่ปีศาจร้ายมันหวาดกลัว
ว่าจะดึงวิญญาณของมนุษย์ผู้มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างมั่นคงไปได้อย่างไร
ความเชื่อในพระเจ้าจึงมีอิทธิพลต่อวิญญาณของมนุษย์มากมายทีเดียว
เขาจะได้รับการปลดปล่อยจากบาป หรือไม่ ก็ด้วยความเชื่อของเขาเอง
“เขาวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ให้พระองค์ทรงช่วยเขาซิ
ถ้าพระองค์ทรงรักเขา ก็ให้พระองค์ทรงปลดปล่อยเขา”
(สดุดี 22:8)
มหาพรตที่กำลังจะล่วงไป ก้าวสู่ปัสกาใหม่ที่กำลังจะมาถึง
เป็นช่วงเวลาของความทุกข์ยากเพื่อจะข้ามไปสู่ความรอดพ้นที่ยิ่งใหญ่
ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ที่เปลี่ยนไปอยู่เสมอ
ทุกครั้งที่ได้รับทราบถึงหน้าที่ใหม่ของตนเอง
ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกถึงความไม่เหมาะสมของตนเองกับภาระงานนั้นๆ
เพราะภาระงานเหล่านั้นเหมือนจะเพิ่มทวีมากยิ่งขึ้น
จนเกินขีดความสามารถของข้าพเจ้า
แต่ในทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้รับภาระงานใหม่ๆ
พระเจ้าก็จะส่งบรรดาทูตสวรรค์ที่น่ารัก
มากล่อมให้ข้าพเจ้าเรียนรู้จักที่จะยอมรับก่อนปฏิเสธ
เรียนรู้ที่จะลองลงมือปฏิบัติก่อนที่จะบอกว่าปฏิบัติไม่ได้
แล้วนอกเหนือจากนั้น พระเจ้าจะเป็นผู้ดูแล และจัดการเพื่อข้าพเจ้าเอง
ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่า เมื่อข้าพเจ้ายอมที่จะเชื่อฟัง และเดินตามทางของพระเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าจะไม่หลงทาง และปลอดภัยอยู่เสมอ
บนหนทาง แห่งความเชื่อ
ข้าฯคือเกลือ ผู้เชื่อมั่น
ยึดถือองค์ พระทรงธรรม์
พร้อมบากบั่น จะดั้นไป
ด้วยแบบอย่าง แห่งชีวิต
มีพระคริสต์ ผู้ยิ่งใหญ่
เดินนำข้าฯ สู่ราชัย
ไม่หวั่นใด ในโลกา
…………………………. |