“เราเป็นผลงานของพระเจ้า

ถูกสร้างมาในพระคริสตเยซูเพื่อให้ประกอบกิจการดี

ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เราปฏิบัติ”

(เอเฟซัส 2:10)

ข้าพเจ้าเป็นผลงานของพระเจ้า

ถูกสร้างมาในพระคริสตเยซูเพื่อให้ประกอบกิจการดี

ซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าให้ข้าพเจ้าปฏิบัติ

อาจารย์สมัยมัธยมปลายของข้าพเจ้าท่านหนึ่งเป็นคริสเตียน

เธอมักเรียกข้าพเจ้าเข้าไปพูดคุยเรื่องราวความรักของพระเจ้า

เธอสอนให้ข้าพเจ้าแทนชื่อของตัวเองในถ้อยคำพระวาจา

ที่พระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าผ่านทางพระคัมภีร์

นั่นก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า

ข้าพเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนของพระเจ้าที่มีต่อข้าพเจ้า

หลายครั้งที่คริสตชนมองว่าพระวาจาในพระคัมภีร์

มีระยะห่างระหว่างจิตวิญญาณของเรากับพระวาจานั้น

พระเจ้าอยู่ห่างไกลชีวิตเรา

เหมือนที่ความดีก็อยู่ห่างไกลกับผลตอบแทน

ที่ควรจะได้รับให้คุ้มค่าของความดีที่ถูกกระทำลงไป

ทุกๆครั้งที่ข้าพเจ้าพยายามดึงตัวเองให้หลุดพ้นจากแรงดึงดูดของบาปร้าย

ข้าพเจ้าก็สัมผัสได้ถึงความใกล้ชิดกับพระเจ้าที่เพิ่มมากขึ้น

แต่ทุกความพยายามไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยสำหรับข้าพเจ้า

ความพยายามที่จะปฏิบัติกิจการดี ละเว้นกิจการชั่วเหล่านั้น

จะมีแรงความรู้สึกอยากเอาชนะของมารร้ายเข้ามาแทรกแซงเสมอ

ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรงกำลังใดใดไปยื้อสู้กับมารร้ายได้

แต่ข้าพเจ้ารู้เพียงว่า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ายังมีพระวาจาทรงชีวิตนำทาง

และมีบรรยากาศแห่งพระพรรอบตัว

ข้าพเจ้าจะไม่พลาดพลั้งหลงทางจนหาหนทางกลับมาไม่ได้แน่นอน

เพราะพระวาจาทรงชีวิตจะเป็นแสงสว่างให้ข้าพเจ้าแม้ในวันที่มืดมัวก็ตาม

“ทุกคนที่ทำความชั่วย่อมเกลียดความสว่าง

และไม่เข้าใกล้ความสว่าง เกรงว่าการกระทำของตนจะปรากฏชัดแจ้ง”

(ยอห์น 3:20)

ตั้งแต่สื่อเทคโนโลยีเจริญรุดหน้าแบบก้าวกระโดด

ข่าวสารต่างๆ หรือแม้แต่พฤติกรรมต่างๆของมนุษย์

ถูกสื่อสารออกสู่สาธารณชนแบบไร้ขอบเขตจำกัด

มีการแบล็คเมล์  ฟ้องร้องสิทธิส่วนบุคคลในสื่อโซเชียลมากมาย

บางคนทำผิดจริงแต่ก็สามารถฟ้องร้องผู้นำความผิดของตนออกมาประจานได้

ความเจริญก้าวหน้าเช่นนี้จะว่าดีก็ดีตรงที่ทำให้มนุษย์พึ่งระมัดระวัง

พฤติกรรมของตนเองเพิ่มมากยิ่งขึ้น

จะว่าไม่ดีก็ไม่ดีตรงที่ว่ามนุษย์กลายเป็นผู้พิพากษามนุษย์ด้วยกัน

ซึ่งหาได้มีความเที่ยงธรรมจริงแท้ไปเสียทั้งหมด

ดีไม่ดีกลับทำให้เขาเสียชื่อเสียงเสียผู้เสียคนเสียอนาคตไปอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คนที่ปฏิบัติกิจการดีย่อมไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด

แม้ใครจะพยายามดึงเราเข้าไปในที่มืดมิด  เราก็จะรอดพ้น

เพราะคุณความดีของเราเป็นประดุจแสงสว่างที่จะคุ้มกันภัยให้เรา

หนังผีหลายเรื่องมักนำเสนอให้ผีร้ายต้องออกอาละวาดในยามค่ำคืน

และต้องอันตรธานหายไปในยามรุ่งอรุณที่แสงทองเฉิดฉันขึ้นมาใหม่

ความชั่วร้ายก็เช่นกัน จึงถูกเปรียบเปรยให้อยู่ฝ่ายข้างความมืดมน

ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความสว่างไว้มากมาย

ตั้งแต่ในปฐมกาล (ปฐก.1:3)

“พระเจ้าตรัสว่า จงมีความสว่าง และความสว่างก็อุบัติขึ้น”

เพราะพระเจ้าทรงแหล่งแห่งความสว่าง

ความสว่างทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินโลก

และความสว่างของพระเจ้าจะส่องสว่างให้แก่จิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยเช่นกัน

หรือในพระวรสารนักบุญยอห์น (ยน.8:12) พระเยซูเจ้าตรัสว่า

“เราเป็นแสงสว่างส่องโลก ผู้ที่ตามเรามา

จะไม่เดินในความมืด แต่จะมีแสงสว่างส่องชีวิต”

ถ้อยคำชี้สอนของพระเยซูเจ้าจึงเป็นแสงสว่างชี้นำทางเรา

หากเราต้องการเดินในทางสว่าง

เราก็ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์

และสุดท้ายในบทจดหมายของท่านนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส (อฟ.5:9-11)

“ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบธรรมและความจริงทุกประการ

จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย

จงอย่าเกี่ยวข้องกับกิจการแห่งความมืดซึ่งไร้ผล

ตรงกันข้าม จงประณามกิจการเหล่านั้น”

………………………….

S