“อย่าทำบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด”
(ยอห์น 2:16)
ถ้าจะกล่าวถึงว่าร่างกายของเราเป็นบ้านของพระเจ้า
เป็นพระวิหารของพระจิตเจ้า
“ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน”
(1 โครินธ์ 6:19)
เราก็คงต้องดูแลรักษาพระวิหาร หรือบ้านอันศักดิ์สิทธิ์นี้ให้สะอาด ปราศจากเชื้อโรคใดใด
เราถูกบรรจงสรรสร้างมาจากความรักของพระเจ้า
มีหัวใจที่เป็นอิสระในการคิด กระทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง
ผ่านกระบวนการของความเชื่อ ความหวัง และความรัก
ที่จะเป็นเสมือนกรอบให้เราเลือกกระทำในสิ่งที่ถูกต้องที่สุด
และเมื่อเรากระทำในสิ่งที่ดีที่สุดแล้วเราก็จะเป็นพระวิหารของพระเจ้าที่สวยงาม มีคุณค่า
แต่แท้จริงแล้ว หลายครั้งที่เราเลือกจะใช้อิสรภาพที่ได้รับตามอำเภอใจของตนเอง
เลือกที่จะกอบโกย เลือกที่จะหาผลประโยชน์เพื่อปรนเปรอตนเอง
เราทำให้พระวิหารของพระเจ้าต้องมัวหมองบ่อยครั้ง
เพราะกรอบแห่งคุณธรรมมันยากที่จะเดินตาม
มันต้องผ่านการตัด สละ ละทิ้ง ความสุขสบายของตนออกไปบ้าง
และถ้าจะกล่าวถึงพระวิหารของพระเจ้าที่เป็นศาสนสถาน
ข้าพเจ้าก็หวนไปนึกถึงงานฉลองวัดแห่งหนึ่งในอดีตเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา
บรรยากาศของงานฉลองวัด งานฉลองชุมชนแห่งความเชื่อ แต่ละที่ก็คงไม่แตกต่างกันมากนัก
บริเวณโดยรอบวัด มักมีการออกร้านจำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท
ผู้คนมากมายที่เดินทางหลั่งไหลมาร่วมงานฉลองวัดต่างตั้งเป้าหมายว่าจะได้รับพร
แต่ในความเป็นจริง ภาพบรรยากาศของการฉลองวัดไม่แตกต่างจากงานตลาดนัดเลย
ผู้คนยังคงจับจ่ายใช้สอยเดินชมสินค้าท่ามกลางเสียงเพลงเริ่มพิธีดังขึ้น
นั่นคือภาพบรรยากาศที่ข้าพเจ้าสัมผัสคุ้นตาคุ้นความรู้สึกมานานพอสมควร
ซึ่งบรรยากาศเหล่านั้นข้าพเจ้าเองก็ไม่ปฏิเสธว่าข้าพเจ้าก็ชอบ
แต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกขัดอยู่ในใจทุกครั้งที่เสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าในวัด
ดังพร้อมกับเสียงต่อรองราคาสินค้านอกวัด
พระวิหารของพระเจ้าไม่มีสิ่งปรนเปรอทางกาย แต่มีอาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณ
ซึ่งสำคัญกว่ามิใช่หรือ
พระวิหารของพระเจ้าไม่อึกทึกคึกโครม สงบร่มเย็น และเป็นที่พักพิงใจ
ในขณะที่ภายนอกพระวิหารนั้น เต็มไปด้วยกิจกรรมนานาชนิดของมนุษย์
ที่ต่างขวนขวาย ไขว่คว้า หาผลประโยชน์ ผลกำไร สนองความต้องการของตัวเอง
สิ่งสำคัญและมีคุณค่ามักได้มายาก และลำบากที่จะต้องอดทน รอคอย
ต้องสละน้ำใจตนเอง ยอมรับในความต่ำต้อยด้อยค่าในสิ่งที่ขาดตกบกพร่องของตน
“เป็นที่พึงปรารถนามากกว่าทองคำ
ยิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์มากมาย
หวานล้ำกว่าน้ำผึ้งที่หยดลงมาจากรวง”
(สดุดี 19:10)
เป้าหมายของเราคืออะไร ชัดเจนแค่ไหน และเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตหรือเปล่านะ
แสงสว่างของคำตอบอยู่ที่เดียวในยามมืดมน
พระวาจาของพระเจ้าเท่านั้นที่จะตอบคำถามของเราได้ชัดเจนที่สุด
เพราะพระวาจาของพระเจ้ามีคุณค่ามากกว่าทองคำ
และหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งสดจากรวงรัง
...ในบ้านน้อย คอยรัก ประจักษ์ใจ
มีความรัก ความห่วงใย ไว้คอยท่า
มีแต่ความ เมตตา กรุณา
มีเสียงพระ วาจา มาเลี้ยงใจ
มีความ สงบ และสันติ
ไร้ซึ่ง ข้อตำหนิ ติฉินได้
ไร้การ แก่งแย่ง แข่งขันใด
มีแต่รัก ชื่นใจ ให้ชื่นชม...
…………………………. |