“ถ้าพระองค์พอพระทัย

พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้”

(มาระโก 1:40)

หลายครั้งที่เราวอนขอและเรียนรู้ว่า หากเราวอนขอสิ่งใด

เราต้องไว้วางใจและพึงพอใจในสิ่งที่ได้รับนั้นแม้จะไม่ได้ตามที่วอนขอก็ตาม

เรารู้สึกลำบากใจเมื่อวอนขอในสิ่งที่เราต้องการ

และต้องต่อท้ายว่าหากเป็นที่พอพระทัยพระองค์โปรดให้ข้าพเจ้าเถิด

เพราะเรายังมีความปรารถนามากกว่าความไว้วางใจจริงๆ

แต่คนโรคเรื้อนที่มาพบพระเยซูเจ้านั้นสอนให้ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่า

เราต้องมีความวางใจและรู้จักที่จะมองความยากลำบาก ความต้องการของคนอื่น

ให้มากกว่าความยากลำบากและความต้องการของตนเอง

“และเพราะมีมลทิน เขาจะต้องแยกไปอยู่นอกค่าย”

(เลวีนิติ 13:46)

ในสมัยก่อนการถูกจับแยกตัวออกจากสังคมเพราะเป็นโรคติดต่อ

ซ้ำร้ายยังต้องคอยตะโกนบอกทุกคนว่าตนเองมีมลทินนั้น

ถ้าเป็นในสมัยนี้คงถูกเรียกร้องความมีมนุษยธรรม

แต่ในเหตุการณ์นี้กลับสอนใจข้าพเจ้าว่า

ในฐานะความเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์มากมายในสังคม

เราต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตคนอื่นด้วย

ความรับผิดชอบที่เรียกร้องให้เสียสละความรู้สึก 

ความทรมานจากความเจ็บป่วยเพื่อแสดงออกซึ่งความรัก

ต่อชีวิตของเพื่อนมนุษย์ในการแสดงตนว่าเป็นโรคติดต่อ มีมลทิน

เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อนั้น

แม้ในสมัยนี้เราจะไม่ต้องเสียสละตนเองมากมายขนาดนั้น

ไม่ต้องตะโกนร้องบอกใครๆว่าตนมีมลทิน  ไม่ต้องถูกแยกตัวออกไปอยู่นอกค่าย

ห่างไกลผู้คนแม้แต่ครอบครัวที่ตนรัก

แต่คริสตชนก็ยังควรมีจิตสำนึกของความเสียสละ และความรัก

เป็นรากเหง้าของชีวิตตนเอง เป็นต้นกำเนิดของความเป็นคริสตชน

ลูกนกแก้วเลี้ยงตัวหนึ่งถูกฟูมฟักจากมือมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต

วันหนึ่ง ผู้เลี้ยงเปิดเพลงบรรเลงดนตรีธรรมชาติจากโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้

ลูกนกแก้วบินโผเข้าไปและเกาะอยู่บนโทรศัพท์เนิ่นนานนิ่งๆจนเพลงจบ

แล้วจึงบินไปเล่นต่อที่อื่น

อีกสักพักผู้เลี้ยงก็เปิดเพลงบรรเลงดนตรีธรรมชาติขึ้นอีกครั้ง

ลูกนกแก้วก็บินมาเกาะและอยู่นิ่งๆจนเพลงจบเช่นนั้น

ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงถิ่นที่มาหรือต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด

ที่ต่อให้ออกไปสู่สภาพแวดล้อมเช่นไร

ก็ยังมีบางสิ่งถูกเรียกร้องอยู่ภายในให้สำนึกถึงต้นกำเนิด รากเหง้าชีวิตของตนเอง

ลูกนกแก้วที่ถูกเลี้ยงด้วยมือมนุษย์แม้จะหากินเองไม่เป็นเมื่อต้องคืนสู่ธรรมชาติ

แต่อย่างไรเสีย ลูกนกแก้วก็ยังคงมีความเป็นสิ่งมีชีวิตของธรรมชาติอยู่ดี

พื้นฐานชีวิตคริสตชนมาจากความรัก มาจากคำสอนแห่งความรักของพระเยซูเจ้า

ต่อให้เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ชั่วร้าย  เราก็จะต้องยืนหยัดในความรักนั้น

ต่อให้เราหลงทางออกไปเราก็ต้องเดินกลับมาสู่แสงสว่างหลักของเราเสมอ

อย่างไรเสียเราก็ยังคงเป็นสิ่งสร้างที่สวยงามของพระเจ้าที่ถูกสร้างมาด้วยความรักอยู่ดี

“แต่ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ห้อมล้อมผู้วางใจในพระองค์”

(สดุดี 32:10)

จะรักให้เหมือนที่พระองค์ทรงรัก

จะมอบใจภักดิ์รักพระองค์ไม่สิ้นสูญ

จะเดินก้าวไปเบื้องหน้าทางพระคุณ

จะรักเพิ่มพูนไม่ให้สูญในวิญญาณ

………………………….

S