“ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่ข่าวดี”

(1โครินธ์ 9:23)

หน้าที่การงานในแต่ละวัน บางครั้ง บางที บางช่วงเวลา

มันก็ทำให้เรารู้สึกเบื่อหน่าย จำเจ ซ้ำซาก ทดท้อ เหนื่อยหน่าย

แต่ก็น่าแปลกใจที่เรายังคงเดินหน้าฝ่าฟันความรู้สึกเลวร้ายนั้นไปจนได้เสมอ

เราใช้พลังส่วนไหนในการขับเคลื่อนชีวิตที่น่าทดท้อนั้นหรือ

ภาระงานของโลก ถูกพลังแห่งความต้องการมี ต้องการได้

เพื่อสนองความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตตนเองและครอบครัวที่ตนรัก

สิ่งเหล่านั้นทำให้เรามีแรงพลังขับเคลื่อนชีวิตต่อไป

พลังนี้เกิดจากการที่เรามีจุดมุ่งหมายของชีวิต

มีผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นความรักของเรา

ทำให้เราสามารถฟันฝ่าความทุกข์ยากลำบากไปได้

แต่ภาระงานของวิญญาณนี่สิที่ยากนัก!

ภาระงานแห่งการทำหน้าที่ลูกของพระ หน้าที่ในการประกาศข่าวดี

ถูกเรียกร้องให้ทำโดยไม่หวังผลตอบแทนใดใดทั้งสิ้น

หากเป้าหมายของเราลางเลือน มองพระเจ้า  มองชีวิตนิรันดร์ไม่ชัดเจน

จะมีพลังใดเล่าที่จะขับเคลื่อนภาระงานของพระไปได้อย่างราบรื่น

ในเมื่อภาระงานของโลก มีผลเป็นรูปธรรมในทุกด้าน

แต่ภาระงานของวิญญาณ กลับมีผลเป็นนามธรรมที่ไขว้คว้าก็ไม่เห็น

โยบพูดว่า”ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกว่าชีวิตของข้าพเจ้า

เป็นเหมือนลมวูบเดียว ตาของข้าพเจ้าจะไม่เห็นอะไรดีอีกเลย”

(โยบ7:7)

จริงทีเดียว ถ้าเราทุ่มเททั้งชีวิตจิตวิญญาณเพื่อเป็นคนของโลก

เราก็จะวุ่นวายวนเวียนอยู่บนอำนาจ ชื่อเสียง

คำชื่นชมยินดี  ความอยากมีอยากได้ไม่สิ้นสุด

แต่แท้จริงแล้ว ทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกก็เป็นเพียงบ้านพักชั่วคราวเท่านั้น

ล่วงวันเวลาผันผ่าน ทุกสิ่งอย่างก็ดับสูญสิ้นไป

เมื่อยังเล็ก เราก็ยังมองเห็นความเป็นอนิจจังนั้นเลือนราง

แต่เมื่อวัยวันล่วงเลยมาช่วงหนึ่ง เราก็เรียนรู้ได้ว่า ชีวิตนั้นก็เป็นอนิจจัง

สิ่งที่คงเหลือไว้ให้ลูกหลานจดจำเป็นแบบอย่างก็คือคุณงามความดี

โยบเตือนใจข้าพเจ้าว่าชีวิตบนโลกใบนี้เป็นเพียงลมแค่วูบเดียว

แล้วมันก็จะผันผ่านไปไม่จีรังยั่งยืน

ดังนั้นหน้าที่ของข้าพเจ้าในฐานะลูกของพระคือต้องไม่ละทิ้งการประกาศข่าวดี

ทั้งด้วยคำพูดและกิจการที่กระทำในแต่ละวัน

ฝึกตนเองที่จะเรียนรู้การเป็นผู้ให้โดยปราศจากการรับ

ยอมรับที่จะผิดหวัง  ถูกดูหมิ่นดูแคลน  และการเป็นผู้รับใช้ด้วยใจยินดี

มันดูยากที่จะกระทำเช่นนั้นท่ามกลางสภาวะแวดล้อมบนโลกใบนี้

แต่มันไม่ยากถ้าเรามองเห็นความรักของพระเจ้าชัดเจนในใจเสียก่อน

ช่วงชีวิตของข้าพเจ้าบนโลกคือการเรียนรู้และปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้า

หน้าที่ของข้าพเจ้าคือการประกาศข่าวดีของพระองค์แก่คนรอบข้าง

เพื่อนพี่น้องบนโลกคือผลกำไรที่พระมอบให้ข้าพเจ้าได้เพิ่มเติมพระพร

ครอบครัวอันเป็นที่รัก คือ พลังที่ผลักดันให้ข้าพเจ้าก้าวไปบนโลกใบนี้อย่างอดทน

และที่สำคัญยิ่ง พระเจ้า คือ ความสำเร็จของชีวิตนิรันดรในวิญญาณข้าพเจ้า

ประสบการณ์สอนข้าพเจ้าว่า   “จงใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเถิด”

“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่

ทรงรวบรวมชนอิสราเอลที่ถูกเนรเทศให้มารวมกัน

ทรงรักษาผู้ชอกช้ำใจ  ทรงพันบาดแผลให้เขา

พระองค์ทรงนับจำนวนดาวในท้องฟ้า

ทรงเรียกชื่อดาวแต่ละดวง”

(สดุดี 147:2-4)

………………………….

S