“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า
ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่ง
ท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา”
(มัทธิว 25:45)
คำสอนของพระ หรือแม้แต่คำสอนของผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยู่ในศีลในธรรม
ก็จะพยายามสอนลูกสอนหลานว่า
ให้มีเมตตาต่อผู้ต่ำต้อยด้อยโอกาส
หรือผู้ที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา
ถ้าไม่มีเหตุการณ์บางเหตุการณ์เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าก็อาจจะคิดได้ว่าตัวเองมีเมตตาต่อผู้อื่นอยู่ไม่ใช่น้อย
แต่เมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ของการถูกเรียกร้องให้เป็นผู้ให้ตลอดเวลา
มันก็ยากเหลือเกินที่จะทำใจให้รักบุคคลบางประเภทได้
ข้าพเจ้าถือว่าเป็นความบกพร่องของข้าพเจ้าเอง
เป็นความแข็งกระด้างในใจที่ยังต้องพึ่งพาพระเมตตาเยียวยารักษาอยู่
ข้าพเจ้าเพิ่งผ่านเหตุการณ์ของการถูกเรียกร้องให้เป็นผู้ให้อีกระลอกหนึ่ง
เมื่อเพื่อนที่ไม่เคยติดต่อกันมาเลยนานนับยี่สิบกว่าปีมาแล้ว
จู่ๆก็โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าเพื่อหยิบยืมเงิน
ข้าพเจ้าซักถามถึงความจำเป็นที่เขามาหยิบยืมข้าพเจ้า
รวมทั้งรายรับของเขาในครัวเรือน
สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับทราบคือ
เงินเดือนของเขาสูงกว่าข้าพเจ้า
เขามีบุตรคนเดียวที่พยายามปลุกปั้นให้ทำกิจกรรมพิเศษมากมาย
ส่วนข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้าเป็นเพียงครูเอกชนตัวเล็กๆคนหนึ่ง
มีลูก 3 คนที่กำลังศึกษาเรียนรู้ ลูกๆทั้ง 3 ของข้าพเจ้าไม่เคยเรียนพิเศษที่ใด
เพื่อนของข้าพเจ้าบอกกับข้าพเจ้าว่า
ขอหยิบยืมเงินเพื่อจ่ายค่าเรียน Ice skating ให้ลูกคนเดียวของเธอ
ข้าพเจ้าตัดสินใจปฏิเสธออกไปอย่างไม่ต้องคิดมากมายเลย
และข้าพเจ้าก็มั่นใจว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขาดความเมตตากับเหตุการณ์นี้
กับอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าต้องฝึกฝนตัวเองให้มีเมตตามากยิ่งขึ้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับญาติพี่น้องที่มาหยิบยืมเงิน
หรือเรียกร้องในสิ่งที่เขาคิดว่าเรามีมากกว่า และน่าจะแบ่งปันให้เขาบ้าง
ข้าพเจ้าพยายามที่จะฝึกการเป็นผู้ให้กับญาติพี่น้องของตัวเอง
แม้บางครั้งจะรู้สึกอึดอัดและลำบากใจมากก็ตาม
การได้ฝึกฝนตัวเองให้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกของใจตัวเองนั้น
มันช่างยากลำบากนักจริงๆ
แต่ข้าพเจ้าก็รู้ตัวเองดีว่า ข้าพเจ้ายังคงต้องฝึกเป็นผู้ให้ต่อๆไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ในสิ่งที่ตนมี
ความจริงการให้ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเพียงแค่ปัจจัยที่เอื้อต่อทางร่างกายเท่านั้น
แต่การให้สิ่งที่เรามี เช่น ความสามารถที่เรามีมากกว่าคนอื่นในด้านใดด้านหนึ่ง
เราก็จะแบ่งปันสิ่งนั้นเพื่อคนอื่นอย่างเต็มที่ที่สุด
แต่การให้ปัจจัยทางกายก็เป็นตัวพิสูจน์ตัวเองทางหนึ่งด้วยเช่นกัน
ว่าเรายึดติดกับทรัพย์สมบัติทางโลกมากกว่าทรัพย์สมบัติทางธรรมหรือเปล่า
ข้าพเจ้าไม่อาจบอกได้เลยว่าตนเองมีทรัพย์สมบัติทางธรรมมากน้อยแค่ไหน
แต่ข้าพเจ้าสำรวจตัวเองได้ว่า
ตัวข้าพเจ้าเองยังยึดติดอยู่กับสมบัติทางโลกมากโขอยู่ทีเดียว
ดังนั้น การที่ยังได้มีโอกาสแก้ไขปรับปรุง ฝึกฝนตัวเองในแต่ละวัน
จึงเป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ยังให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปรับปรุงตัวเองต่อไป
“ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม
พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ”
(เพลงสดุดี 23:3)
ฝึกฝนตน บนพื้นฐาน ของความรัก
มีเมตตา เป็นที่พัก ยามใครล้า
มีอ้อมแขน คอยค้ำจุน หนุนเยียวยา
ยามที่ใคร เอ่อน้ำตา มาพักพิง
มีคำสอน ของพระเจ้า คอยเกลาจิต
มีชีวิต คิดกอบเกื้อ เอื้อทุกสิ่ง
มีพระพร เพื่อให้ใคร ได้แอบอิง
มีรักยิ่ง สิ่งสรรสร้าง ทางคนธรรม
....................................... |