“ดังนั้น จงตื่นเฝ้าระวังไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา”
(มัทธิว 25:13)
พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาเปรียบเทียบอาณาจักรสวรรค์ให้บรรดาสาวกฟังว่า
เมื่อหญิงสาว 10 คนถือตะเกียงออกไปรอต้อนรับเจ้าบ่าว
5 คน นำตะเกียงไปแต่ไม่นำน้ำมันไปด้วย ส่วนอีก 5 คนนำน้ำมันสำรองไปด้วย
หญิงสาวทั้ง 10 คน รอเจ้าบ่าวจนง่วงและหลับไป
เมื่อเจ้าบ่าวมาแล้ว หญิงโง่ 5 คน ไม่มีน้ำมันเติมตะเกียงของตน
จึงต้องไปหาซื้อน้ำมัน
หญิงฉลาดเติมน้ำมันสำรองที่เตรียมมาแล้วเข้าร่วมในงาน และประตูก็ปิดลง
หลายครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาและกำชับให้เราเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ
แต่เราก็ยังคงนิ่งเฉยไม่ใส่ใจกับวันเวลาแห่งชีวิตนิรันดร์
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ข้าพเจ้าขับรถด้วยความสบายใจ
ด้วยความมั่นใจว่าตนเองขับรถเรียบร้อยตามกฎกติกามารยาทดีแล้ว
จนบางครั้งข้าพเจ้ายังแอบบ่นพึมพำในยามที่เห็นรถคันอื่นๆขับไม่เรียบร้อย
หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกติกามารยาททางสังคม
จนกระทั้งวันนั้น ข้าพเจ้าขับรถออกจากบ้านเพียงลำพังเพื่อไปทำงาน
ข้าพเจ้ายังคงมั่นใจในการขับรถของตนเองว่าไม่เสียมารยาทกับใครแน่นอน
แต่แท้จริงแล้ว ข้าพเจ้าวางตนเองอยู่บนความประมาทอย่างแรง
บนความมั่นใจนั้น มันเหมือนข้าพเจ้าปิดประสาทรับสัมผัสไปบางอย่างด้วยเช่นกัน
มันกลายเป็นความผิดพลาดไปตลอดเส้นทางบนถนนสายนั้น
เริ่มจากเมื่อรถคันหน้าจู่ๆก็จอดโดยไม่มีสาเหตุ
และข้าพเจ้าก็เริ่มบ่นที่ต้องเบรคตามมาและพยายามหักเลี้ยวเพื่อแซงขวาออกไป
ข้าพเจ้าลืมไปว่าควรจะดูรถมอเตอร์ไซด์
หรือรถที่อาจจะขอแซงพร้อมๆกันกับข้าพเจ้าก็ได้
เป็นความจริง รถมอเตอร์ไซด์บีบแตรใส่ข้าพเจ้าอย่างไม่พอใจ
ข้าพเจ้าผิดและรู้สึกไม่สบายใจเลย นั่งตำหนิตัวเองมาตลอดทาง
มาถึงที่ทำงาน ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าเปิดไฟเลี้ยวเพื่อขอเข้าจอด
และเลี้ยวเข้าที่จอดรถเลย
แต่ข้าพเจ้ากลับทำผิดพลาดอีกครั้ง
เมื่อเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าที่มาจอดก่อนหน้าข้าพเจ้า
บอกกับข้าพเจ้าด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนกว่า
ข้าพเจ้าปาดหน้ารถตู้คันหนึ่งตอนเลี้ยวเข้ามาจอด จนรถตู้ต้องเบรคอย่างเร็ว
วันนั้นทั้งวันข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าช่างใช้ชีวิตอยู่บนความประมาทเสียเหลือเกิน
ความมั่นใจจนเกินไป ความคิดที่ว่าตนเองถูกต้องแล้ว ดีแล้ว
มันจะทำให้สายตาแห่งความรอบคอบ สายตาแห่งความถูกต้องถูกบดบังจนมืดมิดไป
“เราอาจจะไม่มีวันพรุ่งนี้
ถ้าวันนี้ที่เรามียังยืนอยู่บนความประมาท”
และถ้าข้าพเจ้าไม่มีวันพรุ่งนี้จริงๆหละ
ข้าพเจ้ามั่นใจแค่ไหนกับความพร้อมของตนเอง
วิญญาณของข้าพเจ้าแปดเปื้อนมากน้อยเพียงใด
พร้อมพอที่ประตูสวรรค์จะเปิดต้อนรับหรือไม่
หรือข้าพเจ้าจะต้องเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่า
“แบ่งน้ำมันให้ฉันหน่อย”
เช่นนั้นหรือ
“เมื่อนอนบนเตียงข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์
ข้าพเจ้าคำนึงถึงพระองค์ทุกโมงยามตลอดคืน
เพราะพระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือของข้าพเจ้าเสมอมา
ข้าพเจ้าจึงร้องเพลงด้วยความยินดีอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์”
(สดุดี 63:6-7)
อย่างไรก็ตาม ในทุกๆยามเช้า ข้าพเจ้าฝากทุกกิจการไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
แม้ในบางกิจการที่ข้าพเจ้ากระทำลงไปนั้น
จะเป็นกิจการที่ไม่น่ารักเอาเสียเลยก็ตาม
ข้าพเจ้าก็จะพยายามปรับปรุงตัวเองเพื่อเพิ่มกิจการดีให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อให้วิญญาณของข้าพเจ้าพร้อมเสมอ
ในวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมา
“เราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป”
( 1 เธสะโลนิกา 4:17)
น้ำมันแห่งชีวิตคือความดี แสงสว่างนำชีวีสู่สวรรค์
ตะเกียงแห่งชีวิตที่ครบครัน ย่อมนำพาวิญญาณนั้นสู่ราชัย
....................................... |