“พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรมบัญญัติ”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
“ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านสุดจิตใจ
สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน
นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก
บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน
คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง
ธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก
ก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้”
(มัทธิว 22:36-40)
บัญญัติแห่งความรักจึงเป็นบัญญัติที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกชีวิตจริงๆ
ไม่มีใครไม่ต้องการความรัก
และไม่มีใครที่มีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความรักในใจ
แต่ความรักของพระเจ้ากับความรักของมนุษย์มันก็ช่างแตกต่างกัน
ในฐานะมนุษย์ผู้ต่ำต้อยที่มีความรักอย่างมนุษย์
มีประสบการณ์ความรักตามประสามนุษย์โลกผู้อ่อนแอ
ข้าพเจ้าพบว่า ความรักของพ่อและแม่เป็นความรัก
ที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับของพระเจ้ามากกว่าความรักอื่นใดแล้ว
อาจจะด้วยประสบการณ์ความรักที่ข้าพเจ้าได้รับจากพ่อและแม่มันมีค่ามาก
และสิ่งต่างๆที่พ่อแม่พยายามมอบให้ข้าพเจ้ามันก็สอนข้าพเจ้าว่า
นี่แหละคือความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเลย
พ่อแม่ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดจากข้าพเจ้า
ท่านคอยมองความสำเร็จของลูกหลานอย่างภาคภูมิใจ
และคอยหนุนให้เมื่อลูกหลานคนใดกำลังฟันฝ่ามรสุมอ่อนแรง
คอยเตือนใจยามลูกหลานกำลังหลงทางห่างจากพระพรของพระเจ้า
ส่วนประสบการณ์ความรักของข้าพเจ้ากับบุคคลอื่นๆรอบข้าง
ความรักต่อเพื่อนสนิทมิตรสหาย เราก็ยังคาดหวังสิ่งตอบแทนกลับ
และบางครั้งมิตรภาพกลับจางหายไปด้วยเรื่องผิดใจบางเรื่องได้อีกด้วย
ความรักต่อบุคคลรอบข้างสำหรับข้าพเจ้านั้น
ข้าพเจ้ากลับได้รับประสบการณ์ความรักที่ขาดความยุติธรรม
ความรักที่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน
ความรักที่ถูกเรียกร้องให้กระทำเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง
บางครั้งเราบอกว่าเราทำไปเพราะนี่คือความรัก
แต่แท้ที่จริงมันไม่ใช่...มันมีอะไรเคลือบแฝงอยู่??
ข้าพเจ้ากำลังฝึกฝนตนเองให้มีความรักเหมือนที่พระเจ้าทรงรักเรา
มองออกไปรอบตัวกับหลายๆเหตุการณ์ มันก็ช่างยากเหลือเกิน
ที่จะรักให้ได้เช่นนั้น
มองแคบเข้ามาอีก ข้าพเจ้ามองคนในครอบครัวผู้ที่รักข้าพเจ้าเหลือเกิน
ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรให้รักพวกเขาได้มากพอเหมือนที่พวกเขารักข้าพเจ้า
พวกเขาทุกคนล้วนเป็นแหล่งกำเนิดความรักที่พระเจ้าทรงมอบให้ข้าพเจ้า
เพื่อจะได้เติมพลังความรักให้เต็มในทุกครั้งที่อ่อนแอ
เป็นแบบอย่างความรักที่คอยผลักดัน หนุนนำชีวิตข้าพเจ้า
เป็นเสียงเชียร์ข้างกายที่วิ่งไปกับข้าพเจ้าบนเส้นทางชีวิต
เป็นมือที่ฉุดข้าพเจ้าขึ้นมายามข้าพเจ้าล้มลง
ข้าพเจ้าอยากรักคนรอบข้างให้ได้แบบนี้เหลือเกิน
แต่...ข้าพเจ้ากลับกลัวความผิดหวัง เพราะข้าพเจ้าหวัง
ข้าพเจ้าหวังอยู่เสมอว่า เมื่อข้าพเจ้ามอบความรักความจริงใจให้ใคร
เขาก็ควรจะมีความรักและความจริงใจกลับคืนมาด้วยเช่นกัน
มันเป็นความรู้สึกของมนุษย์ที่ปักหลักอยู่ในใจข้าพเจ้า
เมื่อถูกทำให้ผิดหวังข้าพเจ้าก็กลับขลาดและหวาดกลัวที่จะรักด้วยทั้งหมดของใจ
แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ทดท้อหรือยอมแพ้ที่จะรัก
ข้าพเจ้ายังพยายามที่รักท่ามกลางใจที่แข็งกระด้างหวาดกลัว
ข้าพเจ้ายังพยายามที่จะเรียนรู้ในการส่งต่อความรักที่ไร้เงื่อนไข
โดยไม่ตะขิดตะขวงใจที่จะรัก
ผ่านการทรงนำของพระจิตเจ้าองค์แห่งความรัก
“ถ้าท่านยึดเสื้อคลุมของเพื่อนไว้เป็นประกัน
ท่านจะต้องคืนให้เขาก่อนตะวันตกดิน
เพราะเสื้อคลุมเป็นผ้าห่มกายผืนเดียวที่เขามี
เขาจะใช้สิ่งใดป้องกันความหนาวเมื่อนอน
ถ้าเขาร้องขอความช่วยเหลือจากเรา
เราก็จะฟังคำร้องของเขา เพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา”
(อพยพ 22:26-27)
โอ้..พระจิตเจ้าองค์แห่งความรักของลูก
ลูกจะฝึกฟังเสียงร้องของเพื่อนมนุษย์
เพราะบางทีลูกอาจจะเป็นคนเดียวในเวลานั้นที่ช่วยเหลือเขาได้
แต่ถึงกระนั้น ลูกก็อาจจะพ่ายแพ้ไป
หากพระองค์ไม่ทรงช่วยเหลือลูกให้เข้มแข็งมากพอที่จะรักอย่างไร้เงื่อนไข
อย่างที่พระเจ้าทรงรักลูกเสมอมาผ่านกิจการเมตตาที่พระองค์ทรงมีต่อลูก
ในทุกปัญหา ทุกความทดท้อ ทุกช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต
ขอให้ลูกฝึกที่จะฟังและยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นอย่างยุติธรรมด้วยเถิด
อาแมน
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าพเจ้ารักพระองค์ผู้ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า”
(สดุดี 18:1)
จงรักเถิด เปิดดวงใจ ให้ความรัก
อย่างที่รัก เคยพักพิง อิงส่งเสริม
เพราะความรัก พักที่ใด มักเพิ่มเติม
เป็นจุดเริ่ม ของพระพร พระเมตตา
จงรักเถิด เปิดดวงใจ ให้ความรัก
ทุกข์ร้อนหนัก จักผ่อนคลาย ให้หรรษา
เพราะรักปลูก ที่ดวงใจ ยามใหญ่มา
เป็นที่พัก พิงกายา เพื่อนร่วมทาง
....................................... |