“ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ”
(มัทธิว 20:15)
...................................................................
คำกลอนสอนใจของหลวงวิจิตรวาทการได้ประพันธ์เอาไว้ว่า
“อันที่จริงคนเขาอยากให้เราดี
แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน”
เพราะเรามนุษย์ยังอ่อนแอต่อการถูกประจญ
หลายครั้งที่เรามองเห็นคนรอบข้างได้รับการยอมรับ
ในความชื่นชมยินดีของเรา ก็ยังมีบางอย่างเคลือบแฝงอยู่
นั่นคือบาปอิจฉาที่มันคอยวนเวียนกระซิบในใจเรา
และหากคราใดที่เราหลงให้มันขึ้นมาเป็นใหญ่ในความคิด
มันจะแสดงออกมาเป็นการกระทำที่พร้อมจะทำร้ายผู้ที่เราอิจฉา
ข้าพเจ้ามานึกตรึกตรองดูแล้วนั้น
บาปอิจฉามักเกิดจากการที่เราเฝ้ามองผู้อื่นในลักษณะเปรียบเทียบ
มองเพื่อเอาชนะ มองเพื่อเรียกร้องผลตอบแทนที่ตนคิดว่ายุติธรรม
เกิดจากความรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่ตนเป็นอยู่
ไม่พอใจในสิ่งที่ผู้อื่นได้รับมากกว่าตน
ข้าพเจ้าคิดถึงคำพ่อสอนที่ว่า
โกรธได้แต่อย่าทำบาป ก็คงคล้ายๆกับว่า อิจฉาได้แต่อย่าทำบาป
ยิ่งเราอิจฉามากยิ่งขึ้นเท่าไหร่
เรายิ่งต้องส่งเสริมบุคคลที่เรารู้สึกเช่นนั้นกับเขามากขึ้น
เหมือนประชดมารร้าย เหมือนกลั้นแกล้งความรู้สึกทางลบ
มันเป็นความสะใจในรูปแบบหนึ่งเหมือนกัน!!!
“ท่านทั้งหลายจงประพฤติตนให้คู่ควรกับข่าวดีของพระคริสตเจ้า”
(ฟป. 1:27)
ข้าพเจ้ากำลังพยายามปรับปรุง และพัฒนาตนเอง
ให้คู่ควรกับข่าวดีของพระคริสตเจ้า
แม้หลายครั้งข้าพเจ้าเองก็ทำให้ข่าวดีของพระองค์
ต้องแปดเปื้อนไปด้วยบาปร้ายและสิ่งสกปรก
จากความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์ของข้าพเจ้า
อย่างไรก็ดี พระเมตตาย่อมมีแก่ผู้ที่พยายามพัฒนาตนเองมิใช่หรือ?
ข้าพเจ้าเฝ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสข้าพเจ้าในแต่ละวัน
ได้มีลมหายใจอยู่ต่อเพื่อปรับปรุงแก้ไขตนเอง
ให้ดีมากพอกับการประกาศข่าวดีของพระองค์
“หากการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นโอกาสให้ข้าพเจ้าทำงานได้ผลแล้ว
ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าจะเลือกสิ่งใดดี
ข้าพเจ้ารู้สึกลังเล คือปรารถนาจะพ้นจากชีวิตนี้ไปเพื่ออยู่กับพระคริสตเจ้า
ซึ่งจะเป็นการดีกว่ามาก
แต่การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ต่อไปก็จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับท่านทั้งหลาย”
(ฟิลิปปี 1:22-24)
............................................ |