“ไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตาย

เราก็เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

(โรม14:8)

โดยปกติข้าพเจ้าไม่ค่อยชอบที่จะขับรถไปไหนมาไหนเท่าใดนัก

ด้วยเหตุผลหลายประการ คือ

ข้าพเจ้าจำเส้นทางไม่ใคร่จะได้

และข้าพเจ้ามักรู้สึกหน้ามืด ตาลาย  เวียนศีรษะเวลาขับรถ

ครั้งหนึ่งในขณะที่ข้าพเจ้าขับรถอยู่ท้องถนนนั้นข้าพเจ้ารู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย

ข้าพเจ้าสะบัดศีรษะครั้งหนึ่ง

และคิดในใจว่า ข้าพเจ้าต้องกลับไปให้ถึงบ้านให้ได้

หรือจะจอดข้างทางดีนะ

ในระหว่างนั้นข้าพเจ้าก็คิดถึงสิ่งที่ข้าพเจ้ากระทำมาตลอดระยะเวลาหนึ่ง

กิจการต่างๆในชีวิตข้าพเจ้า

มีกิจการดีมากพอที่จะเดินเข้าประตูสวรรค์อย่างภาคภูมิใจหรือไม่

หรือกิจการที่ผ่านมาเลวร้ายจนมิอาจชดเชยด้วยกิจการดีใดใดเลย

ข้าพเจ้าเฝ้าทูลวอนขอพระเจ้าว่า

โปรดคุ้มครองดูแลข้าพเจ้าเพื่อให้ข้าพเจ้าได้มีชีวิตอยู่ต่อไป

ในการแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองและกระทำกิจการดีให้มากยิ่งขึ้น

และเมื่อใดที่ข้าพเจ้ามีกิจการดีมากพอตามที่พระองค์เห็นสมควรแล้ว

หากพระองค์จะรับข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าก็จะมิดื้อดึงดันอยู่ต่อเลย

“แต่พระองค์ก็ยังทรงมีพระทัยเมตตาสงสาร

ทรงให้อภัยความผิด ไม่ทรงทำลายเขา

ทรงระงับพระพิโรธครั้งแล้วครั้งเล่า

ไม่ทรงปล่อยความโกรธอย่างเต็มที่”

(สดุดี 78:38)

ข้าพเจ้าสัมผัสถึงพระเมตตาของพระเจ้าเสมอจากประสบการณ์ชีวิตของข้าพเจ้าเอง

กี่ครั้งที่ข้าพเจ้าผิดพลาดพลั้ง ดื้อดึงดัน เอาแต่ใจ ใฝ่หาแต่ความสุขของตนเอง

คิดเข้าข้างตนเองว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกต้องแล้ว

เหมือนพวกฟาริสีที่บิดเบือนธรรมบัญญัติ

แต่พระองค์ก็ทรงพระเมตตาไม่มีสิ้นสุด

ด้วยพระเมตตานี้ ข้าพเจ้าจึงสำนึกอยู่เสมอว่า

อย่าลืมที่จะเมตตาต่อคนรอบข้างด้วยเช่นกัน

“เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน

เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ”

(มัทธิว 18:33)

เพราะพระองค์ ทรงเมตตา

คอยเยียวยา  ข้าฯต่ำต้อย

บาปคอยซ้ำ ย้ำริ้วรอย

พระองค์คอย  ลูกคืนมา

โปรดจงเกื้อ เอื้อเอ็นดู

คำพร่างพรู  อย่างรู้ค่า

ด้วยแบบอย่าง พระเมตตา

โปรดนำพา  สู่ทางธรรม

…………………………….

S