“อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา

คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น

และยินดีกลับไปขายทุกสิ่งที่มี นำเงินมาซื้อนาแปลงนั้น”

(มัทธิว 13:43)

เมื่ออ่านพระวาจาตอนนี้ข้าพเจ้าก็คิดถึงตัวเองในอดีตขึ้นมา

สมัยยังเป็นเด็กน้อยที่ชื่นชอบการกินหมูหยองกับข้าวต้มข้นๆ

แต่ด้วยความที่แม่คอยบอกว่าหมูหยองราคาแพงกินทีละน้อย

ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่ามันมีคุณค่าเสียเหลือเกิน

ยิ่งถูกจำกัดก็ยิ่งอยากกินมากขึ้น

ข้าพเจ้าเกลี่ยข้าวต้มออกเป็นหลุมตรงกลาง

และตักหมูหยองหยอดลงไปในหลุมข้าวต้มนั่น

เดินผ่านหน้าแม่ให้แม่พอเห็นว่าตักมาไม่เยอะเท่าไหร่นะ

(ทั้งๆที่มันอยู่ในหลุมข้าวต้มตั้งเยอะแหนะ^^)

นี่แค่อาหารฝ่ายกายข้าพเจ้ายังดิ้นรนวางแผนการขนาดนี้

ข้าพเจ้าถามตัวเองในวันนี้ว่า...

แล้วอาหารฝ่ายวิญญาณหละ ข้าพเจ้าดิ้นรนขวนขวายวางแผนการอย่างไรบ้าง

อาณาจักรสวรรค์ย่อมสำคัญกว่าอาณาจักรโลก

และอาหารฝ่ายวิญญาณก็ย่อมสำคัญมากกว่าอาหารฝ่ายกายมิใช่หรือ

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เข้ารับการอบรม

เรื่อง กฤษฎีกาสมัชชาใหญ่

ของพระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทย

คริสตศักราช 2015

“ศิษย์พระคริสต์ เจริญชีวิต ประกาศข่าวดีใหม่”

คุณพ่อปิยะชาติ  มะกรครรภ์ ได้ให้ข้อคิดไว้ว่า

การประกาศข่าวดีเป็นพันธกิจในพระวรสาร

ซึ่งเป็นหน้าที่ของศิษย์พระคริสต์ นั่นคือผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปทุกคน

ต้องมีหน้าที่ในการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า

เป็นพยานถึงพระเยซูเจ้า ติดตามพระองค์และตายในพระองค์

คุณพ่อเน้นย้ำว่า เราจะเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าได้อย่างไร

ถ้าเรายังไม่รู้จักพระเยซูเจ้าดีพอ

“ผู้ที่ไม่มีก็ให้ไม่ได้”

ข้าพเจ้าชอบข้อคิดประโยคหนึ่งของคุณพ่อที่ว่า

“เอาใจของเราที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าไปสอนเขา

สอนด้วยชีวิต เปลี่ยนที่ตัวเองก่อน”

“กฤษฎีกาของพระองค์น่าพิศวงยิ่งนัก

ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตาม

การเปิดเผยของพระวาจาให้ความสว่าง ประทานปัญญาแก่ผู้รู้น้อย”

(สดุดี 119:129-130)

กฤษฎีกา ของพระองค์ น่าพิศวงยิ่ง

เผยความจริง เผยพระธรรม นำคำสอน

เปรียบประดุจ  แสงอรุณ อุ่นพระพร

ผู้ทุกข์ร้อน อ่อนความรู้ เห็นลู่ธรรม

............................

S