“พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก

จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์

เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ

แต่จะมีชีวิตนิรันดร”

(ยอห์น 3:16)

เด็กน้อยคนหนึ่งร้องไห้ฟูมฟายเพราะมีปัญหากับแม่

เธอระบายความอั้ดอั้นตันใจถึงกรอบที่ถูกแม่ตีเอาไว้

เธอเปิดคอมพิวเตอร์เล่นเกมหลังทำการบ้านเรียบร้อยแล้วในคืนเกิดเหตุ

จวบจนเวลาสี่ทุ่มเศษๆ แม่ของเธอก็ตะโกนออกมาว่า

ให้เธอเลิกเล่นเดี๋ยวนี้แล้วไปนอน

เธอยังคงนิ่งเฉยเพราะยังไม่ง่วง

และยังติดพันกับเกมที่กำลังไปได้สวย

จวบจนเวลาห้าทุ่ม  แม่ของเธอเดิมออกมาด้วยอารมณ์โมโห

และกดปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร

เธอเริ่มโวยวายใส่แม่  ยิ่งเธอโวยวายแม่ก็ยิ่งตีเธอ

คืนนั้นเป็นคืนที่เลวร้ายสำหรับเธอจริงๆ

.....................................

ข้าพเจ้าเคยยกตัวอย่างเช่นนี้ให้กับเด็กๆเพื่อสอนใจ

ณ ขณะนั้น ลูกอาจจะสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ที่มีรอยร้าวในครอบครัว

แต่เมื่อลูกสงบจิตใจแล้วทบทวนดูให้ดีดี

ว่าเหตุใดแม่จึงต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชลูก  คอยตีกรอบวางแผนชีวิตให้ลูก

คอยจัดระเบียบ กฎเกณฑ์ต่างๆนานา

หากไม่ใช่ด้วยความรัก

พระบิดาเจ้าก็เช่นกัน  ตั้งแต่ครั้งที่พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาด้วยความรัก

มนุษย์ดื้อรั้นทำผิดพลาดมาตลอด

พระองค์ก็ไม่เคยทอดทิ้งมนุษย์  กลับส่งพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ลงมา

เพื่อไถ่โทษบาปของเรา

แม้หลายครั้งพระองค์จะทรงตีสอนบ้าง ตักเตือนบ้าง

ด้วยเหตุการณ์ที่อาจจำให้มนุษย์เจ็บปวด  ผิดหวัง  คับแค้นใจ

แต่ทุกเหตุการณ์ล้วนมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์

เป็นบทเรียนที่จะทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี

มีคุณค่า และเป็นลูกพระที่เพียบพร้อมที่สุด

“จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม

จงให้กำลังใจกัน   จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

จงดำเนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิตกับท่าน”

(2 โครินธ์ 13:11)

เมื่อเราคริสตชนแต่ละคนถูกหล่อหลอมให้มีความรักเป็นชีวิต

เราจึงจำเป็นต้องแบ่งปันสิ่งที่เรามี

และพัฒนาสิ่งที่เรายังขาดแคลน

เพื่อให้เราเป็นคริสตชนที่มีหัวใจในการสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงรักเรา

ผ่านกิจการดีงามบนโลกใบนี้ต่อไป

................................................

S