“ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้
เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำหรับตนเอง
แต่ละวันมีทุกข์พอยู่แล้ว”
(มัทธิว 6:34)
........................................
บางครั้งข้าพเจ้าก็อดสงสัยในแผนการของพระเจ้าไม่ได้เลย
ในวันที่ข้าพเจ้ามีความหวังที่จะช่วยพระศาสนจักร
ส่งลูกชายคนเล็กไปเป็นเณรด้วยความหวังจะได้นักบวชสักคน
ในความหวังข้าพเจ้าก็ไม่ได้หักหาญน้ำใจลูกชายนัก
ยังคงให้เวลาในการไตร่ตรอง พิจารณากระแสเรียกของตนเองด้วย
ว่าปรารถนาเช่นนั้นจริงๆหรือไม่
สามปีแห่งความอดทนต่อการพิจารณากระแสเรียกของลูกชาย
สุดท้ายคำตอบนั้นก็มาถึง “นี่ไม่ใช่ทางของลูก”
แม้ข้าพเจ้าจะทำใจมาบ้างแล้ว และไม่ได้หวังจนเต็ม 100
ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ยังอดสงสัยในแผนการของพระไม่ได้เลย
ข้าพเจ้ากังวลเรื่องชีวิตการทำงาน การเงิน การเรียนต่อ
และยังจะวิถีชีวิตของลูกๆแต่ละคนอีก
จนข้าพเจ้ารู้สึกว่า ข้าพเจ้าช่างมีความเชื่อ และความไว้วางใจน้อยเสียจริง
ข้าพเจ้ากลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึง หวาดหวั่นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า
ความกลัว ความกังวล มาจากความคาดหวังที่อยากให้เป็นไปอย่างที่ใจคิด
และหากไม่เป็นไปอย่างใจคิดข้าพเจ้าจะทำอย่างไร
สามสี่วันแห่งความวุ่นวายใจ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกป่วยกายป่วยใจอย่างยิ่ง
พระองค์ทรงรับรู้ถึงความวุ่นวายใจของข้าพเจ้า
รวมไปถึงความอ่อนแอในจิตวิญญาณของข้าพเจ้าด้วย
ทันทีที่ข้าพเจ้าเปิดพระวาจาเพื่อนำมาไตร่ตรองในแต่ละสัปดาห์
พระองค์ทรงมอบพระวาจาให้ข้าพเจ้าเพื่อตักเตือนข้าพเจ้า
ให้คลายความกังวล และเพิ่มความไว้วางใจมากขึ้น
“อย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไร
อย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร”
(มัทธิว 6:25)
พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งข้าพเจ้า
จะไม่ทรงปล่อยให้ข้าพเจ้าเผชิญความรู้สึกผิดหวังเพียงลำพัง
พระวาจาเพียงประโยคเดียวพระองค์คงทรงทราบว่าข้าพเจ้าก็ยังคงหวั่นวิตกอยู่
พระองค์ทรงส่งครูอีกท่านหนึ่งมาเตือนให้ข้าพเจ้าช่วยไตร่ตรองพระวาจา
ที่เขาได้รับมอบหมายให้อบรมนักเรียนหน้าเสาธงในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ให้เขาที
เนื่องจากเขาเป็นครูต่างศาสนา
พระวาจาบทนั้น พระเจ้าทรงเลือกสรรมาเพื่อข้าพเจ้าโดยแท้
“อย่ากระวนกระวายใจถึงสิ่งใดเลย
จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาทุกอย่างของท่าน
โดยคำอธิษฐาน การวอนขอ พร้อมด้วยการขอบพระคุณ”
(ฟป.4:6)
พระวาจาเตือนใจประดังเข้ามาในชีวิตข้าพเจ้า
ในวันที่ข้าพเจ้ารู้สึกวิตกกังวลกับเรื่องราวมากมายที่เหมือนจะร่วมใจกันวิ่งเข้าหา
ข้าพเจ้าทวนพระวาจาทั้ง 3 ประโยคอย่างตั้งใจ
เพื่อให้พระวาจานั้นแทรกซึมลงไปในหัวใจที่อ่อนแอของข้าพเจ้า
และเพื่อให้พลังของพระวาจานั้นฉุดจิตวิญญาณข้าพเจ้าให้มีความไว้วางใจมากยิ่งขึ้น
มีความหนักแน่นในการดำเนินชีวิตมากยิ่งขึ้น
“ประชากรเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ทุกเวลา
จงระบายความในใจของท่านให้พระองค์ทรงทราบ
พระเจ้าทรงเป็นที่หลบภัยสำหรับเรา”
(สดุดี 62:8)
พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งข้าพเจ้า
แม้ในวันที่แสนเศร้าหรือสุขสม
แม้ยามที่คลื่นซัดจนดวงใจจะดิ่งจม
พระพรยังพร่างพรมในทุกกิจการ
พระวาจาทรงเป็นนิรันดร์
เป็นสวรรค์ เป็นเส้นทางให้สืบสาน
ทางสายสวรรค์แม้จะยากและทรมาน
ลูกจะพยายามก้าวผ่านไปให้ถึงเส้นชัย
.............................................. |