“ข้าแต่พระเยซู โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วย

เมื่อพระองค์จะเสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์”

(ลูกา 23:43)

..........................................

วาระสุดท้ายของโจรสองคน

คนหนึ่งกล่าวขึ้นมาว่า “จงช่วยตนเองและช่วยเราให้รอดด้วยซิ”

ในขณะที่อีกคนหนึ่งกล่าวว่า

“โปรดระลึกถึงข้าพเจ้าด้วย”

บางครั้งเราก็ขาดความสุภาพนบนอบในใจไม่ต่างอะไรกับโจรคนแรก

เรามีสายตาไว้ดูถูก ดูแคลนคนที่เรามองว่าต่ำต้อยกว่าเรา

เรามีวาจาไว้คอยบั่นทอนจิตวิญญาณของคนรอบข้าง

เราพร้อมจะเหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่เราไม่พึงพอใจเมื่อเขาพลาดล้มลง

ตราบใดที่เศรษฐีเข้าประตูสวรรค์ยากแล้ว

คนที่จองหองและทะนงตนก็เข้าประตูสวรรค์ยากยิ่งนักด้วยเช่นกัน

ข้าพเจ้าสอนเด็กชายคนหนึ่งอายุประมาณ 7 ขวบ

เขาเป็นเด็กชายที่ไม่ชอบต่อสู้ใคร  เมื่อถูกรังแก หรือถูกดุว่า เขาจะก้มหน้า

จนเพื่อนๆผู้ชายของเขาบางคนมีความสนุกกับการได้แกล้งเขา

บางครั้งก็เอาขี้ยางลบไปใส่ไว้ในกล่องดินสอของเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้

หรือบางทีก็เอาขยะไปไว้ใต้โต๊ะของเขา

คนอ่อนแอมักถูกทำร้ายจากคนที่แข็งแรงกว่าใช่ไหม

อาจจะใช่  แต่เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

เพื่อนๆบางคนอาจจะยังแกล้งเขาบ้างเพื่อสร้างความสุขสะใจให้กับตนเอง

แต่เพื่อนส่วนใหญ่เรียนรู้ที่จะอยู่กับเขาอย่างเห็นอกเห็นใจ

บางคนเข้าใจและคอยช่วยเหลือ ปกป้องเขาจากเพื่อนที่เกเร

มนุษย์มีพื้นฐานดวงใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

หากแต่เราจะเลือกหยิบยื่นสิ่งใดให้กับคนรอบข้างก็เท่านั้นเอง

.....................................................

โจรคนหนึ่งดุโจรอีกคนหนึ่งที่พูดดูหมิ่นพระเยซูเจ้า

และแสดงแบบอย่างท่าทีของความสุภาพ ถ่อมตนให้โจรคนนั้นได้เห็น

หลายครั้งที่เรามองดูความก้าวร้าว ความไม่น่ารักของคนบางคน

แต่เราก็ไม่ได้ใส่ที่จะช่วยเหลือ ซ้ำร้ายเรายังคอยจ้องมองดูเขาพลาดพลั้งล้มลง

เพื่อจะเยาะเย้ยถากถางด้วยความสะใจเสียอีกด้วย

พระศาสนจักรเป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ของเรา

สมาชิกในพระศาสนจักรคือพี่น้องของเรา

เมื่อพี่น้องเราทำผิด เราต้องตักเตือนดูแล และช่วยเหลือ

อาจจะด้วยรูปแบบการตักเตือนที่แตกต่างกันไป

ตักเตือน ไม่ใช่เพื่อแสดงอำนาจ  ตักเตือนไม่ใช่เพื่อเอาชนะ

แต่ตักเตือนด้วยความรักเพื่อให้เขาได้เดินไปพร้อมกันกับครอบครัวใหญ่ของเรา

“ข้าพเจ้ายินดีเมื่อมีผู้บอกข้าพเจ้าว่า

“เราจงไปยังบ้านขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกันเถิด”

บัดนี้ เยรูซาเล็มเอ๋ย เท้าของเรามายืนที่ประตูของเจ้าแล้ว”

(สดุดี 122:1-2)

มีคำกล่าวไว้ว่า

“การกระทำนั้นย่อมสำคัญกว่าคำพูด”

เพราะคำพูดที่ออกจากปากของเรา

ก็เป็นเพียงแค่ลมปากที่พัดปลิวออกมาแล้วก็หายไปในอากาศ

แต่การกระทำของเราถูกมองเห็นด้วยสองตา

ถูกสัมผัสด้วยความรู้สึกในจิตใจ

มันจะถูกจดจำไว้ตราบนานเท่านาน

บางทีการตักเตือนด้วยคำพูดก็มักถูกต่อต้าน

หากผู้พูดยังไม่ได้กระทำในสิ่งที่ตนพูดนั้นเลย

ข้าพเจ้ามองแบบอย่างของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

แบบอย่างของพระองค์ท่านเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก

เมื่อการกระทำของพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนแล้ว

คำพูดของพระองค์ท่านย่อมมีอำนาจตามมาด้วย

แบบอย่าง และคำสอนของพระองค์ท่านมุ่งเน้นเพื่อพสกนิกรของพระองค์

จะได้เป็นคนดี รักกันและกัน  อยู่ร่วมกันอย่างพอเพียง

“ข้าพเจ้ายินดีเมื่อมีผู้บอกข้าพเจ้าว่า

“เราจงไปยังบ้านขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกันเถิด”

บัดนี้ เยรูซาเล็มเอ๋ย เท้าของเรามายืนที่ประตูของเจ้าแล้ว”

(สดุดี 122:1-2)

................................................

เราจงไป  ยังบ้านแท้  แห่งพระเจ้า

สองมือเรา  เกาะเกี่ยวไป  ในสถาน

ร่วมเป็นหนึ่ง  เดียวกัน ด้วยท่อธาร

ที่พระพร  ไหลผ่าน  ตรงกลางใจ

อย่าให้มี  ใครพลาด  หลงทางชั่ว

อย่าให้ทาง   มืดมัว  ครอบครองได้

จะเกาะเกี่ยว  ด้วยรัก ทุกดวงใจ

สู่ราชัย   แห่งวิมาน บ้านของเรา

...........................................

S