“เพราะบุตรของโลกนี้มีความเฉลียวฉลาด

ในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกัน

มากกว่าบุตรของความสว่าง”

(ลูกา 16:8)

....................................................

พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเกี่ยวกับบุตรของโลก

ซึ่งเฉลียวฉลาดในทางโลก และติดต่อกับคนประเภทเดียวกัน

ชักชวนชี้นำกันไปสู่หนทางแห่งความมืด

ซึ่งแตกต่างจากบุตรของความสว่าง

ที่คอยชี้นำทางเราไปสู่หนทางแห่งความถูกต้อง

ตั้งแต่ในปฐมกาล  พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความสว่างของชีวิต

เป็นจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

พระเจ้าทรงเป็นแหล่งแห่งความสว่างของวิญญาณ

ผู้ที่ก้าวเดินตามทางความสว่างจะรอดพ้น

พระเจ้าพระผู้สร้างทรงแยกความสว่างออกจากความมืดฉันใด

พระองค์ก็ทรงแยกคนดีออกจากคนชั่วฉันนั้น

และผู้ที่เดินตามความสว่างจะพบหนทาง ความจริงและชีวิต

ในท่ามกลางความมืดของบาปที่ปกคลุมชีวิตมนุษย์บนโลกใบนี้

พระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์ความสว่างที่ฉายแสงออกมาจากความมืดนั้น

“พระเจ้าผู้ตรัสว่า “ให้แสงสว่างส่องออกมาจากความมืด”

ก็เป็นผู้ทรงฉายแสงเข้าสู่จิตใจของเรา”

(2 โครินธ์ 4:6)

ห้องที่มืดมิดปิดตาย แสงสว่างก็มิอาจลอดเข้าไปได้

หยากไย่ใยแมงมุม และสัตว์ร้ายก็เข้าอาศัยอยู่

ห้องที่เปิดต้อนรับแสงสว่าง  จะปลอดโปร่ง  สดใส

สายลม และแสงแดดที่ส่องเข้าไป

จะทำลายเหล่าเชื้อโรคร้ายในห้องนั้น

ดวงใจ และดวงวิญญาณของเราก็เช่นเดียวกัน

..............................................

ข้าพเจ้าอ่านข้อมูลเรื่องความหมายของแสง

แสงสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง

และการเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางแต่ละชนิดจะมีความเร็วไม่เท่ากัน

ตัวกลางที่มีความหนาแน่นมาก หรือค่อนข้างทึบ

แสงจะเดินทางได้น้อยลง

แตกต่างจากตัวกลางที่มีลักษณะโปร่งใส

แสงจะเดินทางผ่านได้สะดวกและง่ายขึ้น

คงไม่ต่างจากตัวเรา

เลือกที่จะเป็นตัวกลางประเภทใด

ประเภททึบแสงหรือโปร่งใส

เป็นตัวเราเองที่เลือก และยอมรับให้แสงเดินทางผ่านเข้ามาหรือไม่

ยอมให้พระเจ้าส่องสว่างในใจ ในจิตวิญญาณมากน้อยเพียงใด

ความมืดกับความสว่างอยู่กันคนละฝ่าย

ขั้วบวกกับขั้วลบ อยู่กันคนละขั้ว

ธรรมะ กับอธรรม  อยู่กับคนละทาง

พระเจ้าและ มารร้าย ย่อมไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน

ทั้ง 2 ฝ่าย ไม่มีกึ่งกลาง และแยกกันอย่างชัดเจน

ถ้าดวงใจของเรามีพระเจ้าครอบครองชัดเจน

 จะไม่มีมารร้ายเข้ามาแทรกแซงได้เลย

แต่มารร้ายจะพยายามทุกวิถีทาง

เพื่อเข้ามาแทรกแซงดวงใจที่อ่อนแอของมนุษย์ตลอดเวลา

“ข้าพเจ้าขอร้องให้วอนขอ  อธิษฐาน อ้อนวอนแทน

และขอบพระคุณพระเจ้าเพื่อมนุษย์ทุกคน”

(1 ทิโมธี 2:1)

ข้าพเจ้าเป็นคริสตชนฆราวาสคนหนึ่งที่ยังมีความอ่อนแอ

เมื่อครั้งที่ข้าพเจ้ามีภาระในการใช้ทรัพย์สินเงินทอง

ข้าพเจ้าโวยวายเมื่อภาระนั้นดูจะมากเกินไปสำหรับข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าหวงทรัพย์สมบัติที่มีน้อยนิดนั้น

ใช้จ่ายอย่างประหยัด และบ่นทุกครั้งที่ต้องสูญเสียมันไปกับเรื่องบางเรื่อง

ยิ่งหวง  ยิ่งห่วง ยิ่งไขว่คว้า ก็ยิ่งเหมือนจะถลำเข้าไปในบาป

บางทีข้าพเจ้าก็แอบเผลอเอารัดเอาเปรียบคนรอบข้างเพื่อหวังผลเล็กๆน้อยๆ

จริงแท้แล้วสำหรับคำตักเตือนของพระเจ้า

“ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า และเงินทองพร้อมกันไม่ได้”

(ลูกา 16:13)

ทรัพย์สมบัติทำให้ข้าพเจ้ากลับกลายเป็นตัวกลางที่ทึบแสง

ไม่ยอมให้แสงสว่างของพระเจ้าส่องเข้ามาในใจ

หลังจากที่ข้าพเจ้าปล่อยวางในทรัพย์สมบัติ

ข้าพเจ้าก็กลายเป็นตัวกลางที่ค่อยๆโปร่งแสง

แม้จะต้องใช้เวลาในการเจือจางก็ตาม

………………………………

คนอธรรม  ใจหม่น  ระคนทุกข์

คนสุข  ใจสว่าง  สดใส

เปิดประตู  รับแสง  สู่ดวงใจ

เลือกรับใช้  พระเจ้า  หรือเงินทอง

จงเลือก เอาเถิด  มนุษย์เอ๋ย

อย่าเอื้อยเอ่ย  จะแยกใจ  ออกเป็นสอง

เลือกสิ่งใด  ให้ใจ  ได้ครอบครอง

แสงสว่าง   เรืองรอง  ของทรงชัย

………………………

S