“ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตน และติดตามเรา
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
(ลูกา 14: )
การดำเนินชีวิตที่วิญญาณกับร่างกายต้องสนิทสัมพันธ์กันไป
และต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะเมื่อร่างกายประพฤติกิจการดี
วิญญาณก็อิ่มเอมไปด้วยความดีงาม
กิจการดีนับวันยิ่งกระทำยากลำบากเหลือเกิน
เหมือนกางเขนที่ยิ่งแบกก็ยิ่งหนักเพราะหนทางที่เหมือนจะยิ่งเดินก็ยิ่งไกล
เวลาความสุขมันสั้น เวลาความทุกข์มันยาวนาน
ทั้งๆที่ความเป็นจริง เวลาความสุขอาจจะยาวนานกว่าเวลาแห่งความทุกข์ก็ได้
แต่เพราะเราไม่ต้องการมัน สั้นแค่ไหนก็ว่ายาวนาน
เราไม่ชอบแบกกางเขน เพราะมันหนักและเหนื่อย
เราไม่ชอบแบกกางเขนเพราะมันเป็นภาระทำให้การเดินทางล่าช้า
เราอยากเดินทางบนถนนที่รายล้อมด้วยพฤกษานานาพันธุ์
หมู่แมลงน้อยใหญ่โบยบิน พร้อมสายลมโชยเอื่อยๆ
“ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตน และติดตามเรา
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
(ลูกา 14:27 )
หญิงสาวคนหนึ่งโพสต์ข้อความลงในโลกออนไลน์
เธอโพสต์ว่า หนูขอลาออกจากการนับถือพระเจ้า
เพราะหนูอ่านพระคัมภีร์ไม่เข้าใจ หนูว่าบางอย่างมันขัดกับความเป็นจริง
ความเป็นจริง...คืออะไร?
ความเป็นจริงคือพระเจ้าสอนให้เราออกจากตนเอง
และทำทุกอย่างเพื่อผู้อื่น
พระองค์เน้นย้ำบัญญัติแห่งความรักที่ยิ่งใหญ่
รักพระเจ้า รักเพื่อนมนุษย์
รักพระเจ้าก็ยาก ถ้าขาดความเชื่อ
รักเพื่อนมนุษย์ก็ยากถ้าขาดความรัก
ความเชื่อ ความรัก เป็นกางเขนที่เราต้องสละตนเองเพื่อผู้อื่น
เมื่อเชื่อต้องปฏิบัติตามคำสอนและแบบอย่างของผู้ที่เราเชื่อ
เมื่อรักต้องเสียสละความสุขของตนเพื่อคนที่ตนรัก
“ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตน และติดตามเรา
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้”
(ลูกา 14: )
...............................
ข้าพเจ้าชมคลิปหนึ่งใน youtube เรื่อง “แม่...หนูท้อง”
เป็นคลิปเด็กสาวคนหนึ่งที่สะท้อนความรู้สึกที่มีต่อแม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไป
นั่นคือ เธอมองว่าแม่เป็นคนจู้จี้ ขี้บ่น น่ารำคาญ วุ่นวายกับชีวิตของตน
ผู้กำกับจัดฉากเพื่อให้เด็กสาวคนนี้แสดงละครโกหกแม่ของตน
ว่าตนตั้งครรภ์ และถูกทอดทิ้งจากฝ่ายชาย
เด็กสาวแสดงความรู้สึกให้เห็นถึงความทุกข์ เสียใจมากมาย จนอยากจะตาย
แม่ของเด็กสาวกลับกล่าวว่า “ตายทำไม ไม่ต้องตาย”
ทั้งยังสวมกอดลูกสาวของตน
หลังสิ้นสุดการแสดง คลิปนี้ถูกแชร์ออกไปมากมาย
มีการสัมภาษณ์เด็กสาวและแม่ของเธอ
เด็กสาวรับรู้ถึงความรักของแม่ของตน
ในวันที่เธอไม่มีใคร คนที่อยู่เคียงข้างเธอคือแม่ของเธอ
แม่ของเธอให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกผิดหวัง เสียใจมาก โกรธมาก
จนอยากจะตี อยากจะบีบคอให้ตาย แต่ก็ทำไม่ได้
เมื่อเห็นลูกร้องไห้และเป็นทุกข์ขนาดนั้น
อย่างไรก็แม่ อย่างไรก็ต้องเลี้ยงทั้งเค้าและลูกของเขาอยู่ดี
และสุดท้ายคืออย่างไรก็รักเขา
ความรักไม่ใช่จะได้มาแต่เพียงความสุขเท่านั้น
ความรักที่แท้จริงยังต้องผ่านความปวดร้าว ยังต้องแบกกางเขน
เพื่อคนที่ตนรัก เพื่อเป้าหมายที่ดีที่สุด
เช่นเดียวกัน หากเรากล่าวว่าเรารักพระเจ้า เรารักเพื่อนมนุษย์
แต่เราไม่พร้อมจะเจ็บปวด ไม่พร้อมจะแบกกางเขน
เราก็กล่าวมุสา และเราก็รักเพียงแต่คำพูดเท่านั้น ไม่ใช่รักด้วยกิจการ
..............................................
“การเรียนรู้สิ่งต่างๆของโลกนี้ยากมาก
การจะพบสิ่งที่อยู่แค่เอื้อมก็ยากนักหนา......
เขาได้รับความรอดพ้นก็อาศัยพระปรีชาญาณนี้เอง”
(ปรีชาญาณ 9:16,18)
ทุกครั้งที่มีปัญหาคิดหาหนทางแก้ไขไม่ได้
สิ่งหนึ่งที่วอนขอจากพระจิตเจ้าคือปรีชาญาณ
ให้เราสามารถผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างดีตามการทรงนำของพระจิตเจ้า
ลูกจะแบก กางเขน บนโลกนี้
จะมุ่งมั่น ทำดี เพื่อโลกหน้า
ด้วยความรัก บนความเชื่อ จักนำพา
ให้ลูกรู้ คุณค่า ความทุกข์ทน
สิ่งดีใด ได้มา แต่เพียงง่าย
ก็กลับกลาย เป็นมารร้าย ให้สับสน
สิ่งยากใด พาชีวิต ให้ร้อนรน
บันดาลดล ให้ผ่านพ้น พบทางธรรม์
ลูกจะแบก กางเขน บนโลกนี้
เพื่อเป้าหมาย ที่มี คอยเน้นย้ำ
ศิษย์พระองค์ ย่อมลำบาก และตรากตรำ
รับกางเขน แล้วหมั่นทำ แต่ความดี
................................................. |