“เราจะมีมานะวิ่งต่อไปในการแข่งขันซึ่งกำหนดไว้สำหรับเรา

จงเพ่งมองไปยังพระเยซูเจ้า ผู้ทรงบุกเบิกความเชื่อ

และทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์”

(ฮีบรู 12:1-2)

...............................

ข้าพเจ้าเปิดบทเพลงหนึ่งฟัง

เพลง “ตราบลมหายใจสุดท้าย” ของปาน ธนพร

เนื้อเพลงท่อนแรกและท่อนสุดท้ายถูกขับร้องไว้ว่า....

“กายที่เธอมองเห็นว่างาม
สุดท้ายความเสื่อมทรามจะมาพรากไป
ร่วงโรยลงในสายธาร ยามกาลเวลาหมุนไป
ชีวิตต้องแตกสลายไม่มีเที่ยงแท้

………………..

เปิดดวงตาเห็นความสัตย์จริง
จากความจริงของเมืองแห่งกาย
ที่เคลื่อนไหวในลมหายใจ ที่มีแต่ปัญญา

...........................

ยิ่งชม MV ก็ยิ่งสัมผัสถึงความไม่เที่ยงแท้

กับชีวิตมนุษย์ที่ต่างดิ้นรนไขว่คว้าหาความสุขสบาย

เก็บเกี่ยวความอยากได้ฝ่ายกายในเมืองแห่งชีวิต

จนลืมเก็บเกี่ยวความดีฝ่ายจิตเพื่อเมืองแห่งวิญญาณ

ทุกศาสนาต่างพยายามชี้นำแสงสว่างให้มนุษย์เห็นถึงสัจธรรมของชีวิต

โดยมีองค์ศาสดาของแต่ละศาสนาเป็นแบบอย่างในการให้คำสอน

เพื่อให้เราพึงไตร่ตรองชีวิตให้ถ่องแท้

มากกว่าการต่อสู้เพื่อเอาชนะกันด้วยปัญญาเพียงน้อยนิดของมนุษย์

เมืองแห่งกายที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ใช้ปัญญาในการแก่งแย่งแข่งขันกัน

เมืองแห่งกายที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ใช้วิถีชีวิตเพื่อปรนเปรอร่างกายตนเอง

ผ่านวัน  ผ่านเดือน  ผ่านปี จนหมดสิ้นเวลาในเมืองแห่งกาย

ต้องคืนกายเป็นเถ้าธุลีเหลือเพียงดวงวิญญาณที่เคว้งคว้าง

ไร้ความดีเป็นแสงสว่างนำทางสู่สวรรค์

เมืองแห่งกาย เป็นเพียงที่พักชั่วคราวของชีวิต

ที่เราจะต้องฟันฝ่าความทุกข์ยากลำบาก สะสมความดี

ผ่านความอดทน  ผ่านกองไฟที่ร้อนรน  ผ่านความมั่นคงในความเชื่อ

ความเชื่อที่ว่าจุดหมายปลายทางที่แท้จริงคืออะไร

.................................

“เรามาเพื่อจุดไฟในโลก

เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ

เรามีการล้างที่จะต้องรับ”

(ลูกา 12:49)

..............................

พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาในเมืองแห่งกาย

เป็นแบบอย่างของความอดทนต่อการกระทำของมนุษย์ในเมืองแห่งกาย

ถวายพระองค์เองบนไม้กางเขนเพื่อลบล้างบาปของมนุษย์

ที่ยังคงหลงระเริงอยู่ในเมืองแห่งกายนี้

เราจะทำอย่างไรกันเล่า

เพื่อให้ความเจ็บปวดของพระคริสตเจ้าที่มีต่อเรานั้นไม่สูญเปล่าไป

เราจะทำอย่างไรเพื่อเก็บเกี่ยวความดีฝ่ายวิญญาณมากกว่าความสุขสบายฝ่ายโลก

.................................

“ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง

แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า

และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า”

(สดุดี 40:1)

..............................

S