“ขณะที่บรรดาทหารนำพระองค์ออกไป
พวกเขาเกณฑ์ชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีน
ซึ่งกำลังกลับจากชนบท
วางไม้กางเขนบนบ่าของเขาให้แบกตามพระเยซูเจ้า...”
(ลูกา 23:26)
.............................................
หลายครั้งในชีวิตของเรา
เราต้องพานพบกับบุคคลที่เหมือนจะโยนกางเขนใส่บ่าของเรา
ภาระหน้าที่การงาน อุปสรรคและปัญหาต่างๆ
ล้วนเป็นกางเขนที่เราต้องพานพบไม่จบสิ้น
ตลอดชีวิตการเป็นมนุษย์ที่อยู่บนโลกใบนี้
ในวันที่พระเยซูเจ้าทรงแบกกางเขน
พระองค์ทรงแบกบาปของเราเดินไปบนหนทางด้วยความยากลำบาก
ซีโมนชาวไซรีนถูกเรียกให้มารับภาระนี้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เราก็เช่นกัน ถูกเรียกให้มาเพื่อแบกกางเขนในบางช่วงของชีวิต
แค่เพียงบางช่วงของชีวิตเท่านั้น
แต่พระเยซูเจ้าทรงแบกเราไว้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาเดียว
พระองค์ทรงแบกบาปผิดของเราไว้กับพระองค์
และทอแสงแห่งพระเมตตาลงมาแทนที่บาปผิดนั้น
“พระบิดาเจ้าข้า โปรดอภัยความผิดแก่เขาเถิด
เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”
(ลูกา 23:34)
ในขณะที่ความเจ็บปวดมากมายรุมเร้าพระวรกายของพระเยซูเจ้า
พระองค์ก็ยังระลึกถึงพวกเราคนบาป ท่ามกลางความเจ็บปวดนั้น
ศัตรูที่พระองค์แสนรัก ยังถูกขอร้องให้ได้รับการอภัยจากพระบิดาเจ้า
บุคคลที่เราไม่พึงพอใจ บุคคลที่เราแสนจะรังเกียจเดียดฉันท์
เราเคยวิงวอนขอพรเพื่อพวกเขาหรือสาปแช่งพวกเขา
ความรักลบล้างความเป็นศัตรูไปสิ้น
.......................................
บุตรสาวกล่าวแก่แม่ว่า “ลูกจะอยู่ช่วยงานตายาย และไม่เป็นภาระให้ท่าน”
ในช่วงปิดเทอมของปีการศึกษา
ซึ่งควรจะเป็นเวลาพักผ่อนและเที่ยวเล่นของบรรดาเด็กวัยรุ่น
ลูกสาวกลับบอกกับแม่ว่า “หนูคิดว่าถ้าตายายเลี้ยงน้องเล็กๆ
ตายายจะไม่มีเวลาทำงานบ้าน และทำอาหารเลย
หนูจะอยู่ช่วยตายายทำงานบ้านแล้วกันค่ะ
และจะไม่เป็นภาระให้ตายายนะคะ”
กางเขนเล็กๆที่เราสามารถสละตนเองเพื่อผู้อื่นบ้าง
เป็นกางเขนที่งดงาม และไม่ใช่เครื่องหมายแห่งการเป็นนักโทษอีกต่อไป
กางเขนกลายเป็นเครื่องหมายของความรักผ่านการเสียสละ
ความสุขเล็กๆน้อยๆในชีวิตเพื่อผู้อื่นในแต่ละวัน
แต่ละช่วงเวลาที่เราอาจจะไม่ปรารถนาจะพานพบ
................................................
บทเพลงบทหนึ่งขับร้องไว้ว่า.....
“กางเขน คือความรอด ของวิญญาณ
ลูกจะพบพาน ต้องผ่าน ชีวิตทุกข์ทน
ทางแห่งกางเขน นำสู่ สวรรค์เบื้องบน
ต้องผจญ สู้ทน บาปร้ายนานา...”
.................................. |