“แป้งในไหจะไม่หมด

น้ำมันในเหยือกจะไม่แห้ง

จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้า

จะทรงส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน”

(1 พงศ์กษัตริย์ 17:14)

...............................................

ครั้งหนึ่งเมื่อการดำเนินชีวิตดูยากลำบาก

เมื่อลูกๆต้องใช้เงินในการเรียน และยังมีภาระหนี้สินอีกมากมาย

ในขณะที่เรามั่นใจว่าเราใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดและจำเป็นที่สุด

เราก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เคยจะเพียงพอเพื่อใช้จ่ายในแต่ละเดือนเลย

เราเริ่มโวยวาย  บีบคั้นสมาชิกในบ้านเราทีละคน

เริ่มจากคู่สมรสของเรา  ไปถึงลูกๆของเรา

เกิดความอึดอัดในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน

กล่าวโทษกันไปมาถึงต้นเหตุของความไม่เพียงพอ

ครุ่นคิดถึงแต่วิธีที่จะทำให้รายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์เพราะทุกอย่างดูจะตีบตันไร้หนทางไปหมด

ยิ่งขวนขวาย ยิ่งไขว่คว้า ก็ยิ่งเหนื่อย ยิ่งท้อ

บรรยากาศในบ้านก็ดูจะรุ่มร้อนและหม่นดำ

ไม่มีอะไรดีขึ้นมาจากการคิดหาช่องทางร่ำรวยเลย

จนในที่สุด ก็ต้องยกทุกสิ่งไว้ในพระเมตตาของพระเจ้า

“พระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงดูข้าฯ”

ก็นึกถึงคำสอนของพ่อขึ้นมาทันที

“พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งลูกของพระองค์

เมื่อเราวางใจในพระองค์  เราจะรอดและปลอดภัย”

เมื่อเราเลิกขวนขวาย ไขว่คว้า   และทำงานรับใช้พระองค์

ด้วยความซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า

(ในสายพระเนตรของพระเจ้า...ไม่ใช่ของมนุษย์

เพราะถ้าเราทำงานรับใช้มนุษย์ เราก็จะทุกข์เพราะต้องการคำชื่นชม)

เราก็พบว่า

ไม่เคยมีสักวันเดียวที่เราขาดแคลน

ในยามที่เราต้องการ  พระองค์ก็ทรงเมตตาเสมอ

ไม่มากไปแต่ไม่เคยขาดแคลน  ทุกอย่างมีอย่างพอดี พอควร และพอเหมาะ

ลูกๆไม่ค่อยป่วยไข้ให้ต้องเสียเงินทองรักษามากมาย

ลูกๆ ไม่เคยเรียกร้องที่จะอยากมี อยากเป็น เหมือนเพื่อนๆจนเกินควร

สมาชิกในครอบครัวไม่ใช่นักเที่ยว นักกิน หรือนักดื่มแม้แต่คนเดียว

ปู่ย่าตายาย ป้าและน้าๆ ต่างมีใจเอื้ออาทร ไม่เคยทอดทิ้งยามทุกข์ยาก

คอยเกื้อกูลช่วยเหลือผลักดันเพื่อให้ทุกคนอยู่ดีมีสุขตามกำลัง

สิ่งเหล่านี้มีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติยิ่งนัก

“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพยุงผู้ที่ล้มให้ลุกขึ้น

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักผู้ชอบธรรม”

(สดุดี146:8)

…………………………….

พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งลูกของพระองค์

ในวันที่ลูกของพระองค์ร้องเรียกหาพระองค์

พระองค์ทรงสดับฟังและประทานให้ตามความเหมาะสม

เพียงแค่เรารู้จักไว้วางใจและเพียงพอต่อสิ่งที่ได้รับ

เพราะสิ่งที่เราได้รับนั้น

พระองค์ทรงเห็นว่าเหมาะสมกับเราแล้ว

...........................................

ทรัพย์เพียงน้อย  ดูด้อยค่า  ข้าฯ ถวาย

แทนใจกาย  แทนเครื่องหมาย ว่ารักมั่น

เพียงเศษทาน   ที่ใส่ลง  ในถุงนั้น

กลับมีค่า  นับอนันต์  ในพระองค์

ทรงเลี้ยงดู  ปูเสื่อ  เกื้อกูลข้าฯ

ในยามล้า  อ่อนแรง   เตลิดหลง

ทรงประทาน  สารพัด   ดั่งจำนง

ตามประสงค์  ของพระองค์  ทรงพระพร

.....................................

“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า

หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ทำทานมากกว่าทุกคน

ที่ได้ใส่เงินลงในตู้ทาน เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำทาน

แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด

นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”

(มาระโก 12:43-44)

............................................

S