พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า

“เราเป็นปังแห่งชีวิต   ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว

และผู้ที่เชื่อในเราจะไม่กระหายอีกเลย”

(ยน.6:35)

................................................

บทเพลงมานนาใหม่ ของ ว.พันธุมจินดา ท่อนหนึ่งร้องขับขานไว้ว่า

“...มานนา อาหารทานแล้วยังตาย

ไม่เหมือนมานนาใหม่ ที่ได้จากพระบุตรา

มานนาใหม่นี้ เมื่อทานแล้วมีชีวา

หล่อเลี้ยงบำรุงวิญญาณ์    ชีวาคงนิจนิรันดร์...”

ร่างกายที่เน่าเปื่อยไปได้ของเรา

ยังต้องการอาหารเพื่อมาหล่อเลี้ยงประทังชีวิต

เช่นเดียวกัน วิญญาณที่ชิดสนิทอยู่กับร่างกาย

ก็ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงด้วย

แต่อาหารฝ่ายวิญญาณต้องอาศัยความเชื่อภายใน

ที่มีความมั่นใจว่าอาหารนั้นจะทำให้วิญญาณของตน

มีความเข้มแข็งพร้อมที่จะต่อสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำได้

“อาหารนี้บุตรแห่งมนุษย์จะประทานให้ท่าน”

(ยน.6:27)

....................................

เลือดของลูกแกะ

ใช้ถวายเพื่อทดแทนบาปโทษของมนุษย์ในอดีตฉันใด

เลือดขององค์พระคริสตเจ้า

ก็ไถ่โทษให้แก่ข้าพเจ้าผู้เป็นคนบาปฉันนั้น

...................................

พระเป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้า

ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน

ตั้งแต่แรกเริ่มในปฐมกาลตราบจนวันสิ้นพิภพ

ในสมัยที่โมเสสนำประชากรของพระองค์ออกจากประเทศอียิปต์

พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งและยังทรงรับฟังคำร้องขอ

ทรงประทานอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่ายกาย

และประทานพระพรดูแลชีวิตวิญญาณ

แต่เส้นทางชีวิตของมนุษย์

ที่เพียรหาแต่ความสะดวกสบาย

พร่ำบ่น ต่อว่าเมื่อพบความยากลำบาก

พระองค์ก็มิเคยทอดทิ้งด้วยความเข้าใจ

ในความอ่อนแอของมนุษย์นี้

และยังทรงเลี้ยงดูเราตลอดมา

“ดูซิ เราจะบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจากฟ้า

เหมือนฝนให้ท่านทั้งหลายกิน”

(อพย.16:4)

.............................................

“อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป

แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้”

(ยน.6:27)

......................................

โอ้...มานนา   จากแดนสวรรค์

หล่อเลี้ยงชีวัน  สุขสันต์หรรษา

พระพร  พระคุณนานา

ไหลหลั่งมา  เช่นธารน้ำริน

วิญญาณ   ลูกแสนเหนื่อยล้า

อีกบาปหนา   เผาผลาญลูกสิ้น

ธารพระพร   ที่ไหลหลั่งริน

ให้ลูกดื่มกิน  ฟื้นคืนชีวัน

.............................................

เด็กๆและเยาวชนรุ่นใหม่

ได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณเพียงพอหรือไม่?

กับการที่ต้องอยู่ในสังคมแห่งการแก่งแย่งชิงดี

สภาพครอบครัวที่พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลเยียวยาด้านจิตใจเท่าที่ควร

แม้กระทั่งวันอาทิตย์ที่ถือเป็นวันพระเจ้า

พ่อแม่ผู้เคยสัญญาต่อหน้าพระเจ้าในพิธีรับศีลสมรส

ว่าจะดูแลรับผิดชอบทั้งชีวิตฝ่ายกายและฝ่ายจิตของบุตร

กลับละทิ้งคำมั่นสัญญานั้นเสีย

บ้างก็ติดงาน  บ้างก็ส่งลูกเรียน  บ้างก็มีกิจกรรมร้อยแปดพันเก้า

แต่เวลาที่จะหยิบยื่นอาหารฝ่ายจิตให้ลูกนั้น กลับไม่มี

เห็นว่าเป็นเรื่องไม่สำคัญไปสิ้น

ยิ่งพ่อแม่ปล่อยปละละเลยที่จะให้ลูกเห็นความสำคัญ

ของการมีส่วนร่วมในบูชาขอบพระคุณ

โดยเฉพาะวันอาทิตย์

ผ่านเป็นเดือน เป็นปี  เป็นหลายปี

ความเย็นชาและเมินเฉยของความเชื่อที่ควรมีของลูก

ค่อยๆจืดจางลง จนพ่อแม่เองก็ไม่อาจบังคับลูกได้อีกต่อไป

วิญญาณของลูก  อ่อนแอ  ไม่มีพลังพอที่จะต้านทานอำนาจฝ่ายต่ำ

ส่งผลกระทบให้เห็นกันมากมายในสังคมวัยรุ่นยุคปัจจุบันนี้

“ขอพระโปรดเมตตาเด็กๆ และเยาวชนผู้ถูกละเลย

ในการรับอาหารฝ่ายจิตที่พระองค์ประทานให้ด้วยเทอญ”

S