“เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด
พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย”
(มัทธิว 6:14)
.................................................
คำสอนท้ายบทภาวนาที่พระเยซูเจ้า
ทรงสอนให้เรารู้จักที่จะภาวนาและ
คิดถึงพระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์
การให้อภัยเป็นความรู้สึกที่ต้องใช้เวลา
แต่ระยะของการใช้เวลาก็เป็นเครื่องพิสูจน์
ว่าเราสามารถเอาชนะใจตนเองได้มากน้อยแค่ไหน
ที่จะยอมลดทิฐิ ความรู้สึกเอาชนะของตนเองลงได้
ความรู้สึกขัดแย้งในใจ
ความลำบากที่จะก้าวให้พ้นจากแรงกดดันแห่งอารมณ์
ร่องรอยของภาพและเสียงของการกระทำที่ถูกกระทำ
มักฉายวนไปวนมาเหมือนหนังในอดีตที่เอากลับมาฉายย้อนใหม่
เป็นแรงผลักดันให้การอภัยทำได้ยากเย็นยิ่งขึ้น
ก้าวแรกของการให้อภัยคือการยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นในใจเสียก่อน
ว่าเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เกิดมาในสภาวะที่แตกต่างกัน
ความแตกต่างบางทีก็ทำให้เกิดความขัดแย้ง
แต่บางทีก็ทำให้เกิดความสมดุลด้วยเช่นกัน
ความแตกต่าง....
ทั้งการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน สภาพสังคม สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
เขาจึงไม่เหมือนเรา และเราก็ไม่เหมือนเขา
เราก็มีข้อบกพร่อง เขาก็มีข้อบกพร่อง
พ่อสอนว่าให้ระลึกไว้เสมอว่า
แต่ละคนต่างก็พยายามที่จะเป็นคนดีเหมือนกัน
ในวิธีของตนเอง
เมื่อเราทำใจให้ยอมรับความแตกต่างได้แล้ว
การก้าวข้ามผ่านความรู้สึกขัดแย้งก็จะลดลง
อาศัยเวลาและพระหรรษทานในการเยียวยารักษาทั้งใจเขาและเรา
ปรับใจตัวเราเองให้นิ่ง สงบพอที่จะให้อภัย
และให้พระสมานใจเราและเขาให้เป็นหนึ่งเดียว
.........................................................
ความแตกต่าง...บางทีก็เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
เมื่อต่างคนต่างกั้นกำแพงไม่ให้อีกฝ่ายข้ามผ่านมาได้
และต่างก็ขว้างเศษอารมณ์โกรธเกรี้ยวเข้าใส่
ให้อีกฝ่ายย่อยยับไปและตนเองได้ความสะใจกลับคืน
ความแตกต่าง...บางทีก็เป็นสมดุลของชีวิต
ถ้าเราคิดว่าเรามีเราก็แบ่ง เขามีเขาก็ปันสังคมก็ราบรื่น
ความแตกต่างคือสีสัน ความขัดแย้งกลับทำให้กล้ำกลืน
การอภัยคือการย้อนคืน ให้เราหยัดยืนอยู่บนเส้นทางธรรม
.................................................................... |