“จงรักศัตรู จงทำดีต่อผู้ที่เกลียดชังท่าน
จงอวยพรผู้ที่สาปแช่งท่าน จงอธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่ทำร้ายท่าน
ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย
ผู้ใดเอาเสื้อคลุมของท่านไป จงปล่อยให้เขาเอาเสื้อยาวไปด้วย
จงให้แก่ทุกคนที่ขอท่าน และอย่าทวงของของท่านคืนจากผู้ที่ได้แย่งไป
ท่านอยากให้เขาทำต่อท่านอย่างไร ก็จงทำต่อเขาอย่างนั้นเถิด
ถ้าท่านรักเฉพาะผู้ที่รักท่าน ท่านจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร
คนบาปก็ยังรักผู้ที่รักเขาด้วย”
(ลก 6:27-32)
.......................................................
เดือนกว่าๆที่ผ่านมานี้
ฉันวนเวียนอยู่กับเรื่องราวของบุคคลและคำพูดของบุคคล
ที่มักกล่าวถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดี
มนุษย์ก็มีหลากหลาย มากอุปนิสัยใจคอ
หนึ่งในมนุษย์ที่ฉันรู้สึกอยากอยู่ห่างๆคือบุคคลที่ชอบพูดถึงคนอื่นไม่ดี
และเที่ยวเล่าเรื่องของคนอื่นให้ใครต่อใครฟังในทางลบเสมอๆ
ทุกครั้งที่ฉันได้ยินเรื่องราวที่เขาเล่าไม่ว่าจะจากตัวเขาเอง
หรือจากที่คนอื่นเล่าต่อกันมาว่าเขาเล่าให้ฟัง
มันทำให้ฉันรู้สึกระอาและแอบตัดสินเขาแทนพระเจ้าตามประสามนุษย์ของฉัน
ฉันสงสัยมาเสมอว่า ทำไมเขาถึงได้มีวันเวลาที่ร้อนระอุด้วยไฟอยู่ตลอดเวลา
และไม่ว่าคำพูดที่เขาพูดมานั้นจะจริงหรือไม่จริง
จะนินทาเล่าเรื่องราวที่เลวร้ายในอดีตของใครต่อใครให้ใครคนอื่นๆฟัง
ฉันกลับมองว่าไม่ใช่คนถูกนินทาเลยที่น่าสงสาร
เป็นตัวเขาเองต่างหากที่น่าสงสาร
พ่อท่านหนึ่งเคยบอกฉันว่า
คำพูดของเราสะท้อนตัวเราเอง
และเพื่อนของฉันยังให้เสียงสนับสนุนอีกด้วยว่า
สิ่งที่ใครคนหนึ่งพูดถึงคนอื่นในทางลบ
นั่นคือสิ่งที่เขาเป็นอยู่แต่ไม่อาจบอกใครได้
สุดท้าย.....คำสอนที่สรุปบทเรียนชีวิตสำหรับฉันในครั้งนี้
จบลงตรงคำสอนของคุณพ่อสักรินทร์ ศิรบรรเทิงที่ว่า
เราจะโกรธ จะตัดสินเขาลงหรือ
ถ้าเรารู้ว่า สภาพแวดล้อมในครอบครัวของเขาหล่อหลอมเขามาเช่นนั้น
เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวจริงๆ
ที่ทำให้ฉันยอมรับในเหตุการณ์นี้มากยิ่งขึ้น
..................................................
....ขอให้ลูกมีใจอ่อนโยนพอที่จะให้อภัย
และเข้าใจถึงความแตกต่างของแต่ละคน
ยอมรับในความบกพร่องและใจที่มืดมน
ยอมรับกับที่ที่ร้อนรนคนสับสนปนเปไป
ขอให้ลูกรู้จักที่จะภาวนา
และมีใจเมตตาเหมือนพระองค์ได้ไหม
ในความเลวร้ายต้องมีบทเรียนดีดีซ่อนอยู่ข้างใน
พระองค์ทรงมอบให้..แล้วทำไมลูกจึงผลักไสกลับคืน...
................................. |