“อย่าเป็นคนโกรธง่าย เหตุว่าความโกรธมักจะอยู่ในใจของคนโง่”
(ปัญญาจารย์ 7:9)

.........................................

อย่าให้อารมณ์ขุ่นมัวอยู่เหนือความรักและเมตตา

อย่าให้ถ้อยวาจาที่กล่าวออกไปด้วยความโกรธกริ้ว

เป็นเสมือนมีดดาบทำร้ายใจใครให้ลอยปลิดปลิว

เหลือไว้เพียงริ้วและร่องรอยของความเจ็บปวดรวดร้าวใจ

........................................

ไม่มีใครเลยสักคนที่ได้รับผลดีจากการใช้อารมณ์และความรุนแรง

คาอินฆ่าน้องชายด้วยอารมณ์โกรธที่มาจากความอิจฉา

หลายครั้งที่ความโกรธทำให้คนเราขาดสติยั้งคิด

ขาดการตรึกตรองในสิ่งที่กระทำ

ขาดจิตสำนึกที่ดี และมองเลยข้ามผ่านมโนธรรมไปเสีย

ใช้ความต้องการแก้แค้นสนองอารมณ์ที่เกิดขึ้นชั่วคราว

เมื่อเวลาผ่านไป...จึงสำนึกได้ว่าสิ่งที่กระทำลงไปด้วยอารมณ์นั้น

ไม่สามารถเรียกย้อนกลับคืนมาแก้ไขได้อีกแล้ว

บุคคลที่ใช้อารมณ์เป็นหลักในการดำเนินชีวิต

เขาเป็นเสมือนไฟร้อนที่แผ่รังสีไปรอบตัว

บุคคลใดที่เข้าไปใกล้รังสีที่แผ่มาถึง

จะถูกลวกหรือเผาไหม้ตามระยะที่รังสีแผ่ขยายออกมา

ทำให้เกิดความขัดแย้ง และร่องรอยของความบาดเจ็บ

พระเยซูเจ้าสอนให้ลูกเป็นผู้นำสันติ

เป็นผู้นำแสงสว่างไม่ใช่นำเปลวไฟแผดเผาไปในทุกที่

เหมือนดังบทภาวนาของท่านนักบุญฟรังซิส อัสซีซี

ที่ว่า....

ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้า

เป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อสร้างสันติ

ที่ใดมีความเกลียดชัง  ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความรัก

ที่ใดมีความเจ็บแค้น   ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำการอภัย

ที่ใดมีความแตกแยก   ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสามัคคี

ที่ใดมีความเท็จ   ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความจริง

 ที่ใดมีความสงสัย   ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความเชื่อ

ที่ใดมีความสิ้นหวัง   ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความหวัง

ที่ใดมีความมืด  ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำความสว่าง

ที่ใดมีความเศร้าโศก  ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้นำ ความยินดีเบิกบานใจ

    ข้าแต่พระเป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้าเป็นผู้บรรเทา มากกว่าจะเป็นผู้รับการบรรเทา

เห็นใจผู้อื่นมากกว่าจะรับความเห็นใจ

รักผู้อื่นก่อน และมากกว่าที่จะให้คนอื่นรักข้าพเจ้า

ผู้ที่ให้เท่านั้น จะได้รับความอิ่มเอิบยินดี

ผู้ที่ลืมตนเองเท่านั้น จะพบตนเองในทางสันติ

ผู้ที่ยกโทษให้เท่านั้น จะได้รับการอภัยโทษ

ดังนี้เมื่อเราตาย จะได้ไปสู่พระราชัย ของพระองค์ชั่วนิรันดร

...........................................
คนโง่ย่อมให้ความโกรธของเขา พลุ่งออกมาเต็มที่ แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบๆ

(สุภาษิต 29:11)

...........................................