“ถ้าท่านได้รับกำลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า

ถ้าท่านได้รับกำลังใจจากความรัก

ถ้าท่านเป็นหนึ่งเดียวกันในพระจิตเจ้า

ถ้าท่านเห็นอกเห็นใจสงสารกัน

ท่านจงทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยม

โดยการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

มีความรักแบบเดียวกัน

มีความรู้สึกนึกคิดอย่างเดียวกัน”

(ฟป 2:1-2)

........................................................

ศาสนาคริสต์มีหลักคำสอนแห่งความรักเป็นบัญญัติเอก

เราเจริญชีวิตทุกช่วงเวลาด้วยความรักเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณที่อิ่มด้วยความรัก

จะไม่มีความอาฆาตแค้น และไม่ทำร้ายกันและกัน

เพื่อนต่างศาสนาคนหนึ่งถามฉันว่า

ศาสนาคริสต์มีเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่

ฉันบอกว่าไม่มีอย่างเต็มภาคภูมิ

เพราะเราเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า

พระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าย่อมมีแต่ความรักและการให้อภัย

หน้าที่การตัดสินเป็นของพระเจ้า

แม้เพื่อนมนุษย์ทำผิดต่อเรา เราก็ไม่ใช่เป็นผู้ตัดสินลงโทษเขา

เรามีหน้าที่รักและให้อภัยเท่านั้น

แม้หลายครั้งการให้อภัยคนที่ทำร้ายเราจะยากลำบากเกินทำใจได้

แต่หากเรามีต้นทุนความรักหล่อเลี้ยงอย่างอิ่มเอมแล้ว

ฉันมั่นใจว่ามันไม่ยากเลยที่เราจะทำได้

เพื่อนถามฉันอีกว่า และหากเขาทำร้ายฉันจนถึงแก่ชีวิตเล่า

ฉันบอกว่า ถ้าฉันตาย ชีวิตทางโลกก็จบลง

ฉันก็เดินหน้าสู่การรับคำพิพากษา ไม่ใช่เดินกลับมายังโลกเพื่อจองเวรใคร

แต่คนที่เธอต้องชดใช้ให้คือญาติพี่น้องของฉัน  ครอบครัวของฉัน

เพราะพวกเขาต้องสูญเสียและทุกข์ทรมานกว่าฉัน

และเธอก็ต้อชดเชยสิ่งนั้นกับพระด้วยตัวเธอเอง

ไม่ใช่ฉันเป็นผู้ลงโทษเธอ

.............................................................

คาบเรียนสุดท้ายของหลักสูตรคริสตศาสนธรรม ภาคฤดูร้อนของฉัน

ในวิชาการสอนศาสนธรรมเด็ก

ครูผู้สอนได้แจกกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆให้พวกเราคนละ 3 แผ่น

ให้เราเขียนชื่อเพื่อนแผ่นละคน

และเขียนความในใจที่อยากบอกเพื่อนคนนี้

จะขอโทษ ขอบคุณ ให้พรก็แล้วแต่

หลังเขียนเสร็จสิ้น ครูก็ให้เรานำกระดาษนี้เดินไปหาเพื่อนตามชื่อ

และอ่านให้เพื่อนฟัง พร้อมกอดกัน

บรรยากาศ ณ ตอนนั้น มันเกินบรรยายจริงๆ

เพื่อนอ่านให้ฉันฟังทีละคน ทีละประโยค

ฉันแทบไม่ได้อ่านสิ่งที่ตนเองเขียนเลย

ทำได้แค่น้ำตาร่วงกราวไม่หยุดหย่อน

กับสิ่งดีดีที่เพื่อนส่งมอบให้ มันมีค่ากว่าของขวัญชิ้นใดใด

กระดาษทุกแผ่นที่ถูกยื่นให้จากมือเพื่อนๆของฉัน

มันเป็นของขวัญพิเศษก่อนจบคอร์สนี้จริงๆ

เรากอดกัน ฉันพร่ำแต่บอกว่า ขอบใจนะ ขอบใจ ฉันรักเธอนะ

ฉันยังคงจดจำเวลาแห่งพระพรช่วงนั้นไว้เพื่อเป็นพลังชีวิต

ให้ไม่ท้อแท้ที่จะทำความดีต่อไป

“อย่าท้อแท้ในการทำความดี เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี

เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา”

(กท 6:9)

...................................................................