เหมือนดวงไฟที่ใกล้จะดับแสง

เหมือนภัยแล้งมาแบ่งแรงร้อนให้

เหมือนคนหมดหวังและสิ้นกำลังใจ

เหมือนคนร้างไร้ไม่มีอะไรให้ชื่นชม

เหมือนชีวิตกำลังจะลาลับโลก

เหมือนคนสิ้นโชคจมอยู่กับความขื่นขม

เหมือนคนป่วยที่ใกล้จะหมดลม

เหมือนคนจมอยู่ใต้ผืนน้ำเพียงลำพัง

(ความรู้สึกในวันที่จ่อมจมอยู่กับความทุกข์ท้อใจ)

“น้ำผึ้งหวาน”

.......................................................

ในช่วงเวลาที่เหนื่อยทั้งใจและกาย

กับความพยายามเอาชนะใจตนเองต่อเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามา

ทำให้รู้สึกอ่อนล้าและเหนื่อยหน่าย

ยิ่งครุ่นคิดอยู่กับเรื่องราวเหล่านี้ วกไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมา

หาเหตุผลเพื่อเอาชนะต่อเหตุการณ์นั้น หรือแม้แต่เอาชนะใจตนเอง

มักจะต้องผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ท้อ มืดมน  สับสนบนหนทางบ้าง

ก่อนจะพบแสงสว่างรำไรที่รออยู่เบื้องหน้า

.......................................

สัปดาห์หน้าฉันจะต้องปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของตนเองอีกครั้ง

จากบทบาทครูไปเป็นนักเรียน

จากบทบาทผู้ปกครองไปเป็นเด็กในปกครอง

ความรู้สึกเศร้าๆ ก่อตัวขึ้นอย่างไร้เหตุผล

เมื่อคิดไปถึงอนาคตอีกยาวไกลที่ยังมาไม่ถึง

คาดหวังก็เป็นทุกข์     กังวลก็เป็นทุกข์

ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะความไม่พอดีของตนเองโดยแท้จริง

ทำให้ฉันนึกถึงพระวาจาตอนหนึ่งที่ว่า

“อย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้ก็กังวลสำหรับตนเอง

แต่ละวันมีทุกข์พออยู่แล้ว”

(มธ 6:24-34)

ขอให้ลูกทำแต่ละวันให้เป็นวันที่สวยงาม

สำหรับตัวลูกเองและคนรอบข้าง

ให้รอยยิ้มของลูกเป็นพลังผลักดันลูกและคนรอบข้าง

ให้สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข

และมองความทุกข์เป็นเพียงกางเขนน้อยๆ

ที่ลูกยินดีจะแบกรับด้วยความเปรมปรีดิ์ในใจเสมอ

......................................................