เพื่อนหญิงคนหนึ่งส่งโค้ดพระคัมภีร์มาให้ฉัน(มธ 17:6)
เธอบอกกับฉันว่า เธอไม่ค่อยสบายใจกับคนบางคนที่ทำผิดพลาด
โดยเฉพาะคนๆนั้นอยู่ในสถานะที่ไม่ควรทำผิดเลย
เพราะสถานะของเขาเป็นที่สะดุดแก่คนรอบข้าง
ฉันเปิดพระคัมภีร์อ่าน
“...ถ้าใครทำให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราหลงผิดไป
เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอคนนั้น
แล้วถ่วงเขาเสียที่ทะเลลึกก็จะดีกว่า...”
ยามอ่านจบ...ฉันไม่ได้ย้อนกลับไปมองคนที่เพื่อนของฉันกล่าวถึงเลย
แต่ฉันย้อนกลับมานึกว่าฉันเป็นผู้เล็กน้อยคนนั้น
หรือฉันเป็นคนที่ทำให้ผู้อื่นหลงผิดกันแน่นะ
แต่ทั้งนี้ คุณพ่อก็เคยบอกฉันว่า
เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่าสิ่งที่เราแต่ละคนทำนั้นบาปหรือไม่
หน้าที่ตัดสินว่าบาปหรือไม่นั้นเป็นหน้าที่ของพระเจ้า
เพื่อนให้โค้ดพระคัมภีร์เพิ่มมาอีก ในลูกา 17:1-4
“...จำเป็นต้องมีเหตุให้หลงผิด แต่วิบัติแก่ผู้ที่เป็นต้นเหตุ
ถ้าเอาหินโม่แป้งผูกคอคนนั้นถ่วงที่ทะเลก็ดีกว่า
ที่จะให้เขานำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งให้หลงผิด
จงระวังให้ดี ถ้าพี่น้องทำผิดต่อท่าน จงเตือนเขา
และถ้าเขากลับใจแล้วก็จงยกโทษให้
แม้เขาจะทำผิดต่อท่านวันหนึ่งถึงเจ็ดครั้ง
แล้วเขากลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้งนั้นแล้วบอกว่า
‘ฉันกลับใจแล้ว’ จงยกโทษให้เขาเถิด”
..........................................
สุดท้าย ความผิดก็ได้รับการอภัย
แม้บาปโทษจะยังคงอยู่...แต่การอภัยก็ทำให้ดวงใจมีพลัง
มีความหวังที่จะพยายามทำความดีต่อไป
................................
เพื่อนรัก....โปรดยกโทษให้ความผิดพลาดบกพร่อง
แม้มันจะใหญ่หลวงสักเพียงใด
โปรดตักเตือนกันด้วยความรักเถิด
หากเพียงแต่เขากลับใจยอมรับในสิ่งผิดนั้นแล้ว
ก็โปรดให้อภัยเขาด้วยเถิด
เหมือนดังที่พระเยซูเจ้าให้อภัยผู้ที่ทำร้ายพระองค์
ด้วยประโยคที่ว่า “เพราะเขาไม่รู้ว่า เขากำลังทำอะไรลงไป”
............................
ฉันรู้สึกขอบคุณเพื่อนจริงๆ
ที่ส่งโค้ดพระคัมภีร์ที่มีค่านี้มาให้ฉัน
มาเตือนใจกันและกัน
ด้วยความรัก
....................................
ในยุคที่ทุกชีวิตต่างดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตนเอง
ฉันกลับรู้สึกอยากจะก้าวถอยหลังออกมาอยู่ในที่ที่สงบที่ฉันควรอยู่
แต่ฉันจะถอยออกมาไกลเกินไปก็ไม่ได้
ด้วยภาระหน้าที่รับผิดชอบยามที่ยังมีชีวิตอยู่นี้
จึงจำต้องดำเนินตามหนทางชีวิตที่ควรจะเป็นต่อไป
เพียงแต่...ฉันบอกกับตนเองว่า
ฉันจะขอเป็นเพียงอิฐก้อนน้อยของอาคารใหญ่นี้
ขออยู่ในที่ที่ฉันควรอยู่อย่างสงบ
ทำหน้าที่ของตนเองด้วยความรักอยู่เสมอ
รับรู้ในสิ่งที่ควรรับรู้ และไม่รับรู้ในสิ่งที่ไม่ควรรับรู้
..................................................
อยากเป็นเพียงนกตัวเล็กในป่ากว้าง
อยากเป็นเพียงทางรกร้างที่ว่างเปล่า
อยากเป็นเพียงเศษฝุ่นธุลีเถ้า
อยากเป็นเงาอันต่ำเตี้ยเรี้ยพื้นดิน
จะมิเอื้อมโอบเอาดาวบนฟ้า
จะมิหวังให้โลกหล้ามาแดดิ้น
เมื่อคราข้าฯจะผงาดปีกออกบิน
คืนสู่ถิ่นผืนแผ่นดินยามสิ้นใจ
ให้พิภพกลบตัวข้าฯครามืดดับ
ให้ข้าฯกลับสู่ถิ่นฐานอันหวานไหว
ข้าฯจักขอบพระคุณด้วยดวงใจ
จะกลับไปสู่บ้านแท้แห่งพระองค์
................................................
บางทีการอยู่ในที่ที่เราควรอยู่ก็เป็นสิ่งที่ดีและถูกต้อง
ไม่จำเป็นที่เราจะต้องเป็นอาคารที่ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านฟ้า
ให้ใครต่อใครเชิดชูชื่นชม
หากเพียงแต่เราเป็นอิฐก้อนน้อยของอาคารที่ยิ่งใหญ่
ที่มีคุณค่าในที่ ที่เหมาะสม ก็พอ
.......................................................... |