“ให้ตักเตือนคนที่เกียจคร้าน

หนุนนำใจผู้ที่ท้อใจ

ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง

และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งปวง”

(1ธส 5:14)

...........................................................

หนุนใจ...ด้วยใจ

ขอเป็นพลังหนุนนำใจ        ให้ใครที่อ่อนแรงเหนื่อยล้า

สองมือน้อยนี้จะนำพา        ความรื่นเริงหรรษาทาบทาใจ

จะแบ่งปันรอยยิ้มอันพริ้มเพรา      จะช่วยซับรอยเศร้าหวั่นและไหว

จะโอบกอดด้วยสองมืออย่างห่วงใย        จะแบ่งปันดวงใจให้แก่กัน

จะเป็นน้ำค้างใสที่ไหลเย็น             และจะเป็นผ้าช่วยซับน้ำตานั้น

ขอเพียงยามทุกข์ยากคิดถึงกัน       ทั้งหมดของใจนั้น...คือคำภาวนา

แม้หนทางที่ก้าวเดินจะเหินห่าง    แต่จุดหมายปลายทางนั้นมีค่า

ด้วยถ้อยคำหล่อเลี้ยงเสียงภาวนา              จะนำพาให้เรากลับมาพบกัน

เป็นพลังหนุนใจให้ใครเหงา          อย่าลืมเงาที่ผสานยามไหวหวั่น

เมื่อครั้งที่เราทั้งผองร่วมใจกัน       ผสานฝัน แต่งเติมวันจนสวยงาม

..........................................................

กลับสู่วิถีชีวิตของตนเองอีกครั้งหนึ่ง

ขอบพระคุณพระมากมายที่ได้ให้ฉันมาเป็นหนึ่งในห่วงโซ่แห่งรักนี้

หากวิถีชีวิตของฉันเป็นเหมือนเพื่อนมนุษย์หลายคนที่ไม่ได้รู้จักพระองค์

ฉันคงหลงระเริงเตลิดออกนอกทิศทางแห่งพระพรไปต่อไหนเสียแล้ว

ฉันยังมีเวลาส่วนตัว  มีเวลาแห่งการงาน มีเวลาและพระพร

มีช่วงเวลาสำหรับเติมเต็มอาหารฝ่ายวิญญาณ

มีเวลาได้แบ่งปันอาหารฝ่ายวิญญาณแก่คนรอบข้าง

เวลาที่ดีเหล่านี้...เป็นเวลาที่ให้ฉันได้รู้จักพิจารณาตัวเอง

พยายามปรับปรุงแก้ไขการดำเนินชีวิตที่บกพร่องอยู่เสมอ

ฉันมีเวลาเพราะพระให้โอกาสแก่ฉัน

ทุกเช้าที่ลืมตาตื่นขึ้น

นั่นคือพระให้โอกาสฉันที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีกว่าวันวาร

...............................................

วันก่อนที่สามพราน...ฉันได้มีโอกาสเยี่ยมมาเซอร์ในอารามคาร์แมล

ฉันถามมาเซอร์ว่า มาเซอร์เบื่อกิจวัตรที่จำเจบ้างไหม

สำหรับฉัน มันน่าเบื่อมากเมื่อเช้าของทุกวันที่ตื่นขึ้นมา

แล้วเราต้องพบกับกิจวัตรที่ซ้ำซากจำเจ

มาเซอร์สอนฉันว่า...ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่เราทำในวันนี้

มันเหมือนกับเมื่อวานและในอดีตของทุกวัน

มันก็จะเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ

แต่เมื่อวานไม่ใช่วันนี้...สิ่งที่ดีที่สุดคือทำวันนี้ให้ดีที่สุด

แล้วอดีตที่ผ่านไปก็จะเป็นภาพความสวยงาม

ที่เราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดของวันนี้

......................................