"แสงสว่างเรืองรองของฟากฟ้า

เมื่อคราฝนร้างฟ้าเวลาสาย

ละอองเม็ดเกร็ดสายฝนยังพร่างพราย

แสงทอสายสาดส่องสีทองทา

ที่ขอบหนึ่งของฟากฟ้าเวลานี้

นั้นยังมีสีสันต์อันทรงค่า

เป็นของขวัญหลังสายฝนอำลาฟ้า

พระสรรมาให้ประชาได้ชื่นใจ

เรียกสายรุ้งเจ็ดสีที่ทอดผ่าน

ให้ขับขานเป็นตำนานอันสดใส

ว่าสิ้นฝนแห่งฟ้าเวลาใด

แสงส่องใหม่แห่งขอบฟ้าทารุ้งงาม”

..................................

เย็นนี้ สายฝนตกโปรยปรายในขณะที่ฟ้ายังใส

หลังสายฝนอำลาฟ้าไปแล้ว

แสงเรืองรองก็พาดผ่านละอองเล็กๆ ของเม็ดฝนที่ยังกรุ่นอยู่ในบรรยากาศ

เกิดสายรุ้งงดงามทอดผ่านเป็นสะพานฝันอันสวยหรู

ฉันนั่งมองด้วยใจอิ่มเอม

หลังฝนตกมักมีของขวัญสวยงามรอคอยอยู่

ฟ้าที่สว่างใส สายรุ้งหลากสีล้วนเป็นของขวัญ

ที่จะสอนใจฉันได้ว่า

ไม่มีทางที่เราจะพบแต่สายฝนกระหน่ำในชีวิตตลอดเวลา

น่าชื่นใจไม่ใช่หรือ

ว่าเมื่อสายฝนลาฟ้าแล้ว เราจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันแช่มชื่น

เมื่อเวลาผ่านทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป

.....................................

วันนี้ฉันสอนน้องน้ำจิต ลูกชายคนโตว่า

“ในเหตุการณ์ชีวิตประจำวันของลูก

เมื่อมีสิ่งใดที่เข้ามาทำให้ลูกรำคาญใจ

มีคนเข้ามาตำหนิหรือนำปัญหามาให้

สิ่งที่ลูกควรทำอันดับแรกคือ นิ่งและฟังสิ่งเหล่านั้น

อย่าเอาชนะ หรือใช้อารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น

เพราะลูกจะแพ้ต่อปัญหานั้นทันที”

วัยรุ่นเป็นวัยที่ชอบใช้อารมณ์เป็นใหญ่

ไม่พอใจก็แสดงออกอย่างจะแจ้ง

หงุดหงิดก็ระเบิดอารมณ์ใส่

เหตุผลของตัวเองยิ่งใหญ่นัก

วันนี้ฉันได้ตัวอย่างที่ลูกอยู่ในเหตุการณ์

คือใครคนหนึ่งใช้อารมณ์ และเถียงไม่สุดสิ้น

ยึดมั่นในความถูกต้องตามความคิดของตนเอง

ภาพที่เกิดต่อบุคคลทั่วไปกลายเป็นภาพลบทันที

แม้ว่าในความเป็นจริงเขาคนนั้นอาจจะไม่ผิดก็ได้

เหตุการณ์จริงๆในชีวิตประจำวัน

ที่สามารถเป็นบทเรียนสอนใจตัวเองได้นั้น

ฉันถือว่าบุคคลในเหตุการณ์นั้นเป็นครูของฉัน

ให้ความรู้ในเรื่องราวที่เข้ามา

น้องน้ำจิตดูจะยอมรับในคำแนะนำของฉันดีทีเดียว

มันทำให้ฉันรู้สึกขอบคุณครูผู้ให้ประสบการณ์ในครั้งนี้

ไม่ว่ามันจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้หรือไม่ได้

แต่อย่างน้อยทุกครั้งที่น้องน้ำจิตกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา

ฉันก็จะบอกลูกว่า “ลูกแพ้อีกแล้ว”

..........................................

ขอบคุณสายฝนโปรยปราย

ขอบคุณรุ้งพรายที่ปลายฟ้า

ขอบคุณที่สุดพระเมตตา

ที่ไหลหลั่งมาขาดเลย

..........................