“เวลามีความสุขเรามักมองหาคนที่เรารัก
แต่เวลาที่มีความทุกข์เรามักมองหาคนที่รักเรา”

ไม่รู้ว่าถ้อยคำข้างบนใครเป็นคนเขียน
แต่มันใช่อย่างไม่มีข้อโต้แย้งเอาเสียเลย
น่าแปลกที่คนเราเวลามีความทุกข์ท้วมท้นในใจ
เรากลับร้องเรียกหาคนที่รักเรา
คำว่าคนที่รักเรา...เป็นคนที่เราสัมผัสได้ด้วยใจว่า
เขาพร้อมเสมอที่จะฟัง และเป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกทุกข์ยากลำบากของเรา
ด้วยความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และร่วมอยู่ในทุกข์นั้นกับเรา
แต่ในเวลาเดียวกัน
ในขณะที่เรามีความสุขมากมาย
เรากลับวิ่งหาคนที่เรารัก
เพียงเพื่อให้เขาได้เห็นความสวยงามในชีวิตเรายามที่เรามีความสุข
ไม่ใช่ความหม่นหมองของความทุกข์
..................
ดังนั้น..พระเยซูเจ้า...จึงมักถูกเป็นผู้ที่รักฉันอย่างไม่มีเงื่อนไข
เพราะพระองค์มักต้องอยู่ในฐานะผู้รับฟังความทุกข์ยากทั้งมวลของฉัน
แทนที่จะเป็นที่หนึ่งเมื่อยามที่ฉันมีความสุข
แต่นี่...ในยามที่ฉันมีความสุข
ฉันกลับเริงร่าอยู่กับคนหรือทุกสิ่งที่ฉันรักบนโลกใบนี้
ยามที่ฉันผิดหวัง ทดท้อกับคน หรือทุกสิ่งบนโลกใบนี้
ฉันจึงมีกระจิตกระใจที่จะระลึกถึงพระองค์บ้าง
..................................
แต่สุดท้าย...เชื่อไหมว่า
ร้อยละ 90 ของการแต่งงานที่แต่งเพราะเขารักเรา
จะมีชีวิตคู่ที่ยืนยาวกว่าการที่เรามุ่งมั่นจะรักเขา
ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
ฉันยังยืนยันว่า
หากคุณผู้หญิงต้องการจะเลือกคู่ครองสักคนหนึ่งนั้น
คุณควรเลือกคนที่เขารักคุณ
เพราะเขาจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของคุณ
และทำทุกอย่างเพื่อคุณด้วยความรัก
แต่หากคุณเลือกคนที่คุณรักเขา
สิ่งที่คุณจะพบคือความทุกข์ใจ เมื่อเขาไม่ได้สนใจใยดีคุณเลย
..............................
และพึงระลึกไว้เสมอว่า
ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สมบูรณ์ที่สุด
แม้ว่าคนที่รักคุณมากมายก็ตาม
ยังต้องมีข้อบาดหมางบางข้อในการดำเนินชีวิตร่วมกัน
...อย่าไปใส่ใจกับข้อบาดหมางเล็กน้อยพวกนั้น...
คิดถึงส่วนดีของเขาเอาไว้เสมอๆ
ยอมรับในความบกพร่องของกันและกัน
......................
มาถึงตรงนี้...เหมือนเปิดบทเทศน์อย่างไงอย่างงั้นเลย
ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้มีชีวิตคู่ที่เลิศหรูอลังการ งดงามไร้ตำหนิเลย
เป็นชีวิตคู่ที่เหมือนคู่อื่นๆ เรียบๆ เรื่อยๆ บนถนนชีวิตคนธรรมดา
มีขัดแย้งบ้าง มีราบรื่นบ้าง มีเบื่อหน่ายบ้างตามปกติ
และฉันเองก็ไม่ใช่คนที่แสนดีสำหรับคู่ชีวิตของฉันนัก
ฉันมักดื้อ(เงียบ) เอาแต่ใจบ้าง(ตามประสาผู้หญิง)
ไม่มีเหตุผลเหมือนเพลงของปาน
(ซึ่งฉันชอบฟังมากๆ)
เรียกร้องในสิ่งที่ตนเองก็ทำไม่ได้
เมื่อย้อนกลับมาคำนึงถึงส่วนดีของคู่ชีวิตแล้ว
บางทีฉันยังละอายชีวิตตัวเองที่เหลวไหล ไม่น่ารักสักเท่าไหร่เลย
....นั่นแหละ คือ สิ่งที่ฉันควรที่จะขอบพระคุณพระเมตตาของพระ...
ที่พระองค์ทรงส่งคนที่รักฉัน
ห่วงใยฉัน แม้ว่าบางทีฉันอาจจะมองความห่วงใยของเขา
เป็นกำแพงขวางกั้นอิสรภาพของฉันก็ตาม
แต่สุดท้าย ฉันก็บอกกับตัวเองว่า
นั่นแหละเหมาะสมแล้ว
ก็เพราะฉันเป็นแบบนี้ไง...จึงต้องมีคนแบบนี้มาดูแล
(เหมาะสมและถูกต้องยิ่งนัก)

.................................................