“ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า ไม่มีความดีประการใดอยู่เลย...
ด้วยว่าความดีนั้น ซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำข้าพเจ้าก็ไม่ได้กระทำ
แต่การชั่ว ซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่”
(รม 7:18-19)
........................................................

ได้มีเวลาเพียงเล็กน้อยเปิดหนังสือ
“เพ็มพิกัส...คัมแบ็ค”
ของหลวงพ่อแซมอ่านพอให้หายอยาก
เพราะหยิบๆจับๆอยู่หลายวันแล้ว แต่ด้วยความเหนื่อยเมื่อยและล้า
ทำให้ได้แค่หยิบๆ จับๆ อ่านแต่หน้าปกเสียหลายรอบ
“น้ำเป็นของปลา ฟ้าเป็นของนก นรกเป็นของตู”
ประโยค title หน้าปกที่สะท้อนภาพความทุกข์ปนความขำ
พ่อทำให้ความทุกข์กลายเป็นเรื่องสนุกเสมอ
กับเพ็มพิกัสตั้งแต่เล่มแรกมาจนกระทั่งเล่มที่สอง
อ่านซ้ำไปซ้ำมาก็ยังสนุกทุกคราว
บนความทุกข์และทรมานของพ่อ
.............................
เล่ม Comeback เล่มนี้
ฉันชอบประโยคพระวาจาที่พ่อเริ่มต้นไว้
สวยงาม ถูกต้อง ตรงใจ
ฉันแปลกใจว่าทำไมนะ ประโยคนี้ผ่านตาฉันไปได้อย่างไร
พระวาจาประโยคนี้...ผ่านตาฉันไปได้อย่างไร
สิ่งดีที่ฉันควรจะทำฉันก็ไม่ได้ทำ
สิ่งไม่ดีที่ฉันไม่ควรทำฉันกลับยินดีที่จะทำ
..................................
มนุษย์เรานี่ก็แปลก....สิ่งท้าทายคือสิ่งที่น่าเข้าไปเสี่ยงเสมอ
แลกด้วยชีวิต แลกด้วยวิญญาณ ก็ยอม
ถ้าสิ่งนั้นทำให้เรามีความสุขแม้เพียงชั่วคราวก็ตาม
...................................
ความพยายามที่จะเป็นคนดียังคงมีอยู่ในใจเสมอ
และฉันก็เชื่อว่า พื้นฐานจริงแท้ของมนุษย์ทุกคน
ปรารถนาจะทำแต่ความดี...
ก็ตอนพระองค์ทรงสรรสร้างมนุษย์มา
พระองค์ทรงเห็นว่าสิ่งสร้างนั้นดี...มิใช่หรือ
(หรือว่าฉันเข้าข้างตัวเองมากเกินไปนะ)
แต่บางที สิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมเขามา
บางที สภาพที่เขาต้องประสบและได้รับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ก็อาจทำให้เขาเห็นผิดเป็นชอบไปได้
ขนาดคนที่คิดว่าดีแสนดี ยังมีบาปที่แอบซ่อนเร้นอยู่เลย
แล้วประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาอย่างฉัน
“อย่ามองเพียงเศษผงในตาคนอื่นแต่มองไม่เห็นท่อนฟืนในตาตนเอง”
พระวาจาทรงชีวิตประโยคนี้ทำให้การให้อภัยผู้อื่นสำหรับฉันแลง่ายขึ้น
อย่างน้อยฉันก็ยังได้สำนึกว่า ฉันเองก็บาปหนา
ยังรอการให้อภัยอยู่ทุกวัน
แล้วฉันจะให้อภัยคนอื่นบ้างนั้น มันยากลำบากมากนักหรือ
..................................
สุดท้าย...น้ำก็ยังเป็นของปลา
ฟ้าก็ยังเป็นของนก...แต่นรกหนูไม่อยากไปค่ะ
ขอแค่ไฟชำระก็พอนะคะ...คุณพ่อ
.................................................