เมื่อครั้งสมัยเข้าค่ายเยาวชน
จำได้ว่าปฐมนิเทศการเข้าค่ายในครั้งนั้น
พี่เลี้ยงตามเก็บนาฬิกาทุกเรือนบนข้อมือของพวกเรา
และบอกกับพวกเราว่านับแต่วันนี้จนถึงวันสิ้นสุดค่าย
เราจะไม่ดูเวลาการทำกิจกรรมให้ฟังสัญญาณเรียกรวมตัวพร้อมกัน
เราจะตัดขาดจากเวลาของโลกภายนอก
...เพื่อนๆหลายคนบ่นอุบอิบเพราะไม่คุ้นเคยกับความรู้สึก
เหมือนตนเองล่องลอยไร้เวลามากำหนด
สำหรับฉัน ณ วันนั้น ฉันไม่มีนาฬิกาข้อมือ
จึงไม่ได้เดือนร้อนอะไรนาฬิกาเรือนแรกที่ได้มาเป็นนาฬิกาที่พ่อซื้อให้
และฉันก็ไม่คุ้นเคยที่จะใส่มันฉันจึงเก็บมันอย่างดี
เพราะเกรงว่าพ่อจะเสียใจแต่มันดีเกินไปจนฉันหามันไม่พบ
มาพบอีกครั้งตอนที่มันตายเสียแล้ว
ในซอกซิบประเป๋าใส่ไหมพรมของฉันจวบจนเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา
.. ฉันทำงานแล้ว
น้องสาวซื้อนาฬิกาให้ฉันในโอกาสวันคล้ายวันเกิด
นี่เป็นเรือนแรกที่ฉันใช้นาฬิการาคาเกินพันจริงๆ
ฉันพยายามใส่มันทุกวัน ดูแลอย่างดี จนถึงทุกวันนี้
ฉันรู้แล้วว่าชีวิตขึ้นอยู่กับเวลาเป็นอย่างไร
วันใดที่ฉันลืมใส่มันมาจากบ้าน(ซึ่งก็ไม่บ่อยนัก)
วันนั้นฉันจะกระวนกระวายใจ
เหลือบมองแต่ข้อมือซ้ายที่ว่างเปล่าทั้งวัน
จนพี่ท่านหนึ่งต้องยื่นนาฬิกาของเขาให้ฉันใส่ไว้ก่อน
...ฉันเป็นอะไรไปยิ่งในวันที่มีการสอน
...ฉันยิ่งไม่มีความสุขเลย
...กังวลไปสารพัด
...ชีวิตฝากไว้กับเวลาเสียแล้วหรือนี่
...และเช่นกันในวันนี้
พี่ท่านหนี่งลืมใส่นาฬิกามาจากบ้านเธอแลกระวนกระวายใจ
..จนเอ่ยขอยืมนาฬิกาข้อมือของฉันไปใช้ก่อน
ฉันยื่นนาฬิกาให้ด้วยความรู้สึกหวงๆ (ของขวัญที่น้องสาวให้)
ข้อมือฉันว่างอีกแล้วหรือนี่ฉันไม่มีนาฬิกาดูเวลาอีกแล้วเหรอ
วันนี้ฉันบอกตัวเองว่า...ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร เค้าจำเป็นกว่าเราในวันนี้
....บางที ฉันควรจะลองเก็บนาฬิกาใส่กล่องปิดตายไว้สักเดือน
เพื่อพาชีวิตของตัวเองหลุดออกจากห้วงเวลาทั้งหมด
ไม่ยึดติดกับมันบ้างจะได้ไหม
....มันอาจจะสร้างวินัยให้กับชีวิตฉันแต่มันก็ดึงเอาความสงบไปด้วย
การกำหนดกะเกณฑ์ในแต่ละช่วงของชีวิต
และน่าแปลกที่ฉันกำหนดเวลาทุกช่วงไว้
เพื่อหน้าที่การงานและอื่นๆสารพัด
ยกเว้นเวลาส่วนตัวในระหว่างวันที่จะจัดไว้สำหรับพระแม้เพียงสักครู่เดียวเท่านั้น

.......................................
เราต่างใส่ใจและยึดติดกับนาฬิกาของชีวิต
แต่เราปล่อยให้นาฬิกาของวิญญาณหมดลานไปนานเท่าไหร่แล้ว
...............................