“เราไม่ได้เรียกท่านว่าผู้รับใช้...; แต่เราได้เรียกท่านว่ามิตรสหาย” (ยอห์น 15:15)
เป็นที่แน่นอนว่า ในห้องชั้นบนนั่นเองที่ถ้อยคำเหล่านี้ได้ถูกกล่าวออกมา ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันฉุกละหุก เพื่อการตั้งศีลมหาสนิทและฐานันดรสงฆ์ไว้ให้แก่พวกเรา
พระคริสตเจ้าทรงทำให้บรรดาสาวก และผู้คนอื่นๆ ที่จะมาสืบทอดความเชื่อต่อจากบรรดา
สาวกเหล่านั้นด้วยการรับศีลบรรพชาได้รู้จักและเข้าใจว่า ในกระแสเรียกแห่งพันธกิจ และ
เพื่อภารกิจนี้เองที่พวกเขาทุกคนจะกลายเป็น เพื่อนสนิทของพระองค์ พวกเขาจะต้องกลายเป็น เพื่อนๆ ของรหัสธรรม ซึ่งพวกเขาได้มารู้จักเพื่อทำให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วงไป

ความหมายของการเป็นพระสงฆ์ก็คือ การมีความสุขและพึงพอใจในมิตรภาพที่มีต่อ
รหัสธรรมขององค์พระคริสตเจ้า และด้วยรหัสธรรมแห่งการไถ่กู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงมอบ เนื้อหนังของพระองค์ “เพื่อความมีชีวิตชีวาของโลก” (ยอห์น 6:51) ส่วนพวกเราที่ได้
เฉลิมฉลองศีลมหาสนิททุกๆ วัน ซึ่งเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์แห่งการช่วยให้รอดของพระกายและพระโลหิตนั้น ควรจะต้องมีความชิดสนิทอันลึกซึ้งกับรหัสธรรมแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์นี้จากจุด
เริ่มแรกของการก่อตั้งด้วย เราอาจอธิบายได้แค่เพียงคำพูดถึงความหมายแห่งฐานันดรสงฆ์
เท่านั้น และเพียงแค่ภายในขอบข่ายภารกิจของรหัสธรรมอันสูงส่งนี้ --- มีเพียงขอบข่ายแห่งภารกิจนี้เท่านั้นที่เราจะต้องทำให้บรรลุถึงเป้าหมาย

ในส่วนลึกของตัวตนแห่งความเป็นสงฆ์ของพวกเรานั้น คงต้องขอบคุณพวกเราแต่ละ
คนในช่วงเวลาที่ได้รับศีลบรรพชา ซึ่งทำให้เรากลายเป็น “เพื่อนกัน” พวกเราคือพยานซึ่ง
มีความชิดสนิทเป็นพิเศษต่อความรักนี้ ซึ่งได้พิสูจน์ตนเองด้วยการไถ่ให้รอด “เหตุว่า
พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคน
ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยอห์น 3:16)

ในองค์พระเอกบุตรนี้เอง โดยผ่านทางความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ได้ทรงมอบ พระองค์เองเพื่อช่วยโลกให้รอด เพื่อชีวิตนิรันดรของพวกเราแต่ละคน และเพื่อบรรดาเพื่อน
พี่น้องของพวกเราด้วย

ส่วนพวกเรา บรรดาพระสงฆ์ ผู้อภิบาลเกี่ยวกับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็เปรียบเสมือน “มิตรสหาย” พวกเราแต่ละคนได้พบว่าตนเองนั้นมีความสนิทสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการไถ่กู้ ที่มาจากความรักนี้ ซึ่งพระบุตรเองได้ทรงนำมาประทานแก่โลก ทั้งยังเป็นการนำมาให้อย่าง สม่ำเสมอไม่ขาดสาย แม้ว่าการเติมเต็มพวกเราด้วยสิ่งนี้จะก่อให้เกิดความหวาดหวั่นที่มาจาก
ความศรัทธาเลื่อมใสก็ตาม อย่างไรก็ดี เราควรตระหนักว่า พร้อมๆ กับศีลมหาสนิทนี้เองที่
รหัสธรรมแห่งการไถ่กู้ด้วยความรักนี้ได้เข้ามาในความรู้สึกนึกคิด และในมือทั้งสองของพวกเรา
พวกเราซึ่งเป็นสงฆ์ควรตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าศีลนี้จะต้องย้อนกลับไปหาคนอื่นๆ รอบข้างทุกวัน
โดยผ่านทางริมฝีปากของพวกเราเอง และเป็นสิ่งที่จะต้องถูกจารึกไว้ชั่วกัลปาวสานเกี่ยวกับกระแสเรียกและงานอภิบาลที่เราได้ทำไว้ในโลกนี้ด้วย

ช่างเป็นความลึกล้ำอย่างยิ่งสำหรับพวกเราแต่ละคนที่ได้ถูกสถาปนาเอาไว้ด้วยความเป็น
สงฆ์ของพระองค์เอง โดยผ่านทางรหัสธรรมแห่งการไถ่บาปนี้! เป็นที่ชัดเจนว่าพิธีกรรมใน
วันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์นั้นนำความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ในบ้านเกิดมาสู่พวกเราทุกคน แน่นอนอย่างยิ่ง ว่าพวกเราควรรำพึงไตร่ตรองในโอกาสการฉลองครบรอบการบวช 25ปี หรือ 50 ปี
ในโอกาสเหล่านี้เอง ที่การฟื้นฟูตัวตนภายในของพวกเราแต่ละคนควรจะได้รับความเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าการฉลองครบรอบ 25 ปี หรือ 50 ปีนั้นได้รับความเข้าใจที่ตรงกัน
โดยพระศาสนจักรว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของทุกๆ คน หากว่าพวกเราจะต้องเป็นพยานในการฟื้นฟูชีวิตจิตต่อผู้อื่น และต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเราด้วยกระแสเรียก
แห่งการเป็นคริสตชนแล้ว เราก็ควรจะต้องเป็นให้ได้ และต้องประกาศให้ตัวเองฟัง ถึงปีศักดิ์สิทธิ์แห่งการไถ่กู้เช่นเดียวกันกับปีแห่งการฟื้นฟูกระแสเรียกแห่งความเป็นสงฆ์นั่นเอง

โดยการนำไปสู่การฟื้นฟูภายในดังกล่าวนั้นในกระแสเรียกอันศักดิ์สิทธิ์ ที่พวกเราได้รับมานั่นเองที่จะช่วยให้เราเทศน์สอนถึง “ปีแห่งความโปรดปรานของพระเป็นเจ้า” ได้ดีกว่า และเกิดผลอันอุดมกว่าที่ผ่านๆ มา (ลูกา 4:19; อิสยาห์ 61:2) อันที่จริงนั้น รหัสธรรม แห่งการไถ่กู้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อสรุปหรือแนวคิดทางด้านเทวศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นสัจธรรมอันไม่รู้สิ้นสุด โดยผ่านทางการโอบกอดมนุษยชาติของพระบิดาเจ้าในองค์พระคริสตเจ้า ด้วยความรักนิรันดรของพระองค์ หากมนุษย์คนใดที่ได้ตระหนักถึงความรักนี้ ก็จะยอมปล่อยให้ตนเองนั้นได้รับการนำทางและซึมซาบด้วยความรักนี้เช่นกัน และเพื่อชีวิตภายในจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากความรักนี้ด้วย ซึ่งโดยอาศัยความรักนี้เองที่พระองค์ได้ทรงกลายเป็น “สิ่งสร้างใหม่” (2 คร. 5, 17) มนุษย์เอ๋ย การสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยความรักเช่นนั้น
ซึ่งเป็นความรักที่เผยแสดงให้เห็นถึงพระองค์เองในองค์พระเยซูคริสตเจ้า เป็นการทอดพระเนตร ด้วยพระจิตของพระองค์ไปยังพระเป็นเจ้า พร้อมๆ กับที่เป็นการแจ้งข่าวดีของผู้เขียนบทสดุดีว่า “ในพระองค์นี้เองที่เราได้รับการไถ่บาปอย่างสมบูรณ์! (สดด. 130: 7)

พระเป็นเจ้าได้ทรงทำให้โลกกลับคืนดีกับพระองค์ในองค์พระคริสตเจ้า (2 คร. 5, 19)
และแน่นอนที่สุดว่า เพราะพระองค์ทรงทำให้เกิดการคืนดีกันในองค์พระคริสตเจ้า ในฐานะที่
ทรงเป็นบุตรชายคนหัวปีของสิ่งสร้างทั้งมวล (คส. 1, 15) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของมนุษย์และพระเป็นเจ้านั้นได้ถูกนำกลับเข้ามารวมกันอีกครั้งอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เอง มนุษยชาติจึงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในองค์พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็น “สิ่งสร้างใหม่” ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะในพระองค์ และโดยผ่านทางพระองค์นั้น พระหรรษทานแห่งการปลดปล่อยและยกโทษบาปยังคงอยู่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ต่อหน้ามนุษย์ทุกผู้ทุกนาม...

พวกเราเป็นผู้รับใช้และผู้อภิบาลแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ การไถ่ให้รอดพ้นจากบาปนี้ได้ถูกเผยแสดงให้เห็น และถูกทำให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยการให้อภัย เปรียบเสมือนเป็นการปลดปล่อยให้หลุดพ้นจากโทษบาปทั้งปวงด้วย

พี่น้องที่รักทั้งหลายในฐานันดรสงฆ์แห่งองค์พระคริสตเจ้าของเรา! ในระหว่างปีแห่งการฉลองการครบรอบการรับศีลบรรพชานั้น เราขอภาวนาให้พวกท่านบรรลุถึงเป้าหมายในหนทางอันเศษนี้ ซึ่งก็คือ การเป็นครูผู้สอนสัจธรรมของพระเป็นเจ้า เกี่ยวกับการให้อภัยและการยกโทษบาป แม้ในขณะที่ความเป็นจริงนี้จะถูกประกาศไปอย่างสม่ำเสมอโดยพระศาสนจักรอยู่แล้วก็ตาม ทั้งยังนำเสนอความเป็นจริงนี้ด้วยความมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณด้วย จงเสาะแสวงหาหนทางต่างๆ ในอันที่จะทำให้เกิดความประทับใจ เพื่อซึมซับลงสู่ความรู้สึก
นึกคิดและจิตสำนึกของบรรดาพี่น้องชายหญิงที่รักของเราในยุคนี้.
(จากจดหมายของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ถึงบรรดาพระสงฆ์, ในวันพฤหัสฯ ศักดิ์สิทธิ์ ปี 1983)

.........................................................................................